ม่านควันหนาตาจนเด็กหนุ่มต้องโบกมือไล่ให้มองเห็นสิ่งตรงหน้า เขาไอโขลกๆ สำลักควันไฟแต่ยังพยายามเข้าไปในบ้านที่ถูกเปลวเพลิงโหมไหม้
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
เขาไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย วิ่งฝ่ากองเพลิงไปจนเห็นร่างของมารดา ใบหน้าซูบเซียวแต่ดวงตาบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ผมที่เคยยาวสลวยกลับยุ่งเป็นกระเซิง ในมือยังถือเชิงเทียนอยู่ ราวกับไม่ใช่มารดาที่เขารู้จัก
“ท่านแม่!”
“เขาทิ้งเราไปแล้ว…พ่อของเจ้าทิ้งพวกเราไปแล้ว นังแพศยาตัวร้ายมันแย่งผู้ชายคนนั้นไปจากแม่…”
เขาจับข้อมือของมารดาแน่นแต่ไม่กล้าออกแรงมาก เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเจ็บ ทั้งๆที่ตัวเองก็หายใจไม่ออก
“ท่านแม่ รีบออกไปเถิด” เขาอ้อนวอน “น้องเล็กอยู่ที่ใด”
“ลี่หยาง เจ้าช่างเหมือนพ่อของเจ้านัก” มารดายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบใบหน้าของลูกชาย “ น้องสาวของเจ้าเอาแต่ร้องหาพ่อ ร้องหาชายชั่วคนนั้น แม่...แม่ก็เลย...”
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตวาดออกมาแล้วผลักมารดาไปพ้นทาง ความสนใจคือน้องสาววัยห้าขวบ เขาหันซ้ายแลขวาพลางส่งเสียงตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของน้องสาวที่แน่นิ่ง เขาวิ่งไปเข้าไปอุ้มร่างเล็กแล้ววิ่งฝ่ากองเพลิงออกมา แม้หันหลังกลับไปยังเห็นมารดายืนอยู่กลางกองเพลิง เขาพยายามเรียกน้องสาวให้ตื่น ทำทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่อาจปลุกนางขึ้นมาได้
ไม่มีอีกแล้ว เสียงหัวเราะสดใสและเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’
ชายหนุ่มผวาขึ้นจากเตียงนอนด้วยร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ภาพฝันแตกกระจายไปแล้วเมื่อลืมตา แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากข้างใน
เขาซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง มารดาเสียสติหลังจากท่านพ่อติดพันคณิกานางหนึ่งถึงขั้นไถ่ตัวรับมาอยู่ในเรือน แต่ท่านพ่อจะยกนางขึ้นเป็นภรรยารองซึ่งมารดาไม่อาจยอมรับได้ หากเป็นแค่อนุ มารดายังพอรับได้แต่ถึงขั้นยกย่องเช่นนั้น มารดาที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งสองทะเลาะกันหนักหน่วง บิดาซื้อเรือนให้คณิกาผู้นั้นอยู่และแทบจะใช้ชีวิตที่นั้นยิ่งทำให้มารดาโกรธแค้น แต่เขาไม่คิดว่ามารดาจะถึงขั้นเสียสติ ทำร้ายน้องเล็กและเผาบ้านจนมอดไหม้ เขาเองไม่อาจรับเรื่องเลวร้ายนั้นได้ หลังจัดงานศพให้มารดาและน้องสาว เขาจึงออกมาอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตเร่ร่อนจนได้มาพบกับท่านหมอมู่จางหมิ่น
ผ่านมาหลายปีแต่เขายังฝันร้าย ภาพในคืนนั้นยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
เพราะรู้ตัวว่าตนเองมักฝันร้ายและผวาตื่นจึงแยกตัวออกมา สร้างห้องหลังเล็กแยกออกมา กลิ่นหอมหวานที่ไม่คุ้นเคยทำให้ลี่หย่างเหลียวมองรอบกาย แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อข้างกายมีร่างของหญิงสาวนอนขดกายราวแมวน้อย
“แม่นาง...เอ่อ ไป๋เซ่อ”
หญิงสาวเริ่มคุ้นกับชื่อใหม่ นางลืมตามองเขาแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง เสื้อผ้าตัวหลวมและสาบเสื้อที่คลายออกเผยให้ผิวกายขาวราวหิมะ ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวว่าเสื้อผ้าหลุดรุ่ยทำให้พรานหนุ่มยื่นมือจับเสื้อผ้าของหญิงสาวให้มิดชิด ดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆ ก่อนก้มมองสิ่งที่เขาทำ ท่าทางไร้เดียงสาทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เข้าเมืองแล้วข้าจะหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้า” มู่ลี่หยางพึมพำแล้วพูดอย่างนึกได้ “เหตุใดเจ้ามานอนที่นี่”
ไป๋เซ่อทำหน้านิ่งคิด คิ้วงามขมวดยุ่งเหยิงก่อนส่ายหน้าไปมาแล้วพูดเสียงเบา
“ข้าก็ไม่รู้”
“เดินละเมอรึ” ลี่หยางถามเหมือนไม่ถาม เด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมดูแลหลายคนก็มีอาการเดินละเมอ หลังจากได้รับการรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนหลายคนไม่เดินละเมออีก
“ไม่รู้” นางส่ายหน้าไปมาแล้วคลี่ยิ้ม “ข้านอนที่นี่ไม่ได้หรือ?”
“เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ควรมานอนกับข้าที่นี่”
“ที่เรือนหลังใหญ่ก็นอนรวมกัน” นางแย้งแล้วเอียงคอมองเขา “ข้าตัวโตนอนกินที่ผู้อื่น ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม”
หากเทียบกับเด็กคนอื่น นางย่อมตัวโตกว่าแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับร่างสูงใหญ่ของเขา นางก็เหมือนเด็กเล็กๆ เท่านั้น เขาถอนหายใจอีกครั้ง นางความจำเสื่อมและไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาที่ต้องการคนปกป้องดูแล
“ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม” เขายืนกร้าน ปกติเขาประสาทรับรู้ไวนักแต่ทำไมครั้งนี้เขาไม่รู้ว่ามีคนแอบมานอนด้วย หรือเพราะอยู่ในห้วงฝันร้ายจึงไม่ทันระวังตัว
ทว่าสายตาเจือรอยเศร้าที่จ้องมองเขาทำให้ใจอ่อน แม้นางเป็นหญิงสาวเต็มวัยแต่ความคิดอ่านเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น คงต้องค่อยๆ สอนให้นางเข้าใจไปที่ละขั้นตอน แต่คืนนี้...
“ช่างเถอะ อีกประเดี๋ยวก็เช้าแล้ว เจ้ามานอนตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นสละที่นอนของตนให้นางขยับเข้าไปนอนด้านใน ส่วนตนเองอยู่ด้านนอก
“ลี่หยางใจดีที่สุดเลย” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างดีใจแล้วขยับตัวไปนอนด้านใน ดึงผ้าห่มผืนเก่าของเขามาห่มอย่างไม่เกรงใจแล้วพริ้มตาหลับราวกับเป็นเจ้าของที่นอนเสียเอง
ถ้อยคำของนางทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะนอนต่อจึงนั่งมองหญิงสาวหลับใหลไปอย่างเงียบๆ นึกถึงภาพที่ตนเองพบนางหมดสติอยู่ริมลำธาร เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีแต่เปื้อนเปรอะคราบเลือดและขาดวิ่น ตามร่างกายมีรอยฟอกช้ำแต่ไม่มีบาดแผลสาหัส เขาไม่คิดว่านางจะบาดเจ็บหนักขนาดกลายเป็นคนความจำเสื่อมอย่างนี้ เขาแบกร่างที่หมดสติกลับมาให้หมอมู่จางหมิ่นรักษา
นางเป็นใครกัน หญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้เหตุใดถึงอยู่กลางป่าเพียงลำพัง
มู่ลี่หยางเหน็บผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาใช้ชีวิตพรานล่าสัตว์ป่ามาหลายปี บางครั้งก็กินนอนในป่า บางคราวก็ออกจากเรือนตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเก็บของป่านำไปขายแลกเงิน ตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องใช้อะไรนัก แต่หมอมู่จางหมิ่นที่ดูแลเด็กกำพร้าอยู่นั้นต้องใช้เงินซื้อข้าวสารและเสื้อผ้า เขาจึงช่วยเท่าที่พอทำได้ แต่คราวนี้เขาคงต้องหาของป่าเอาไปขายเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้ไป๋เซ่อเสียแล้ว
เสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้หญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่น นางยกมือขึ้นบังแสงสว่างที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้า เหตุใดนางไม่ชอบแสงแดดเอาเสียจริง แม้รู้ว่าตนเองไม่ชอบแต่ก็ยังฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง นางกวาดสายตามองรอบกายแต่ไม่พบแม้แต่เงาของมู่ลี่หยาง นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเดินมานอนที่ห้องของเขา ทั้งที่นางจำได้ว่าตอนที่นานนอนหลับนั้น ก็หลับพร้อมกับเด็กๆ คนอื่น