พ่านถูหัวเราะตัวงอหงาย ของเล่นที่เขาได้มาจากพวกพ่อค้าทางเรือช่างดีเยี่ยม กู่*(สัตว์มีพิษหลายชนิดถูกเลี้ยงรวมกัน ขังไว้ในภาชนะปิดตาย หากตัวใดเหลือรอดจะเรียกว่ากู่) และตัวที่เขาเลี้ยงไว้ เป็นแมลงปีกแข็ง ยามนี้มันส่องแสงที่ก้น เพื่อบอกตำแหน่งที่พบแม่นางน้อยซ่อนตัว
“อยู่ตรงนั้น ไป... จับตัวนางมา”
จวี้ชิงหรานไปยินเสียงต่างๆ รอบกาย แต่นางไม่อาจขยับหนีไปไหน ช่วงเวลาดังกล่าว นึกย้อนถึงความตื่นเขินของตน นางอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน จนเป็นเหตุพาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
กระทั่งมีฝ่าเท้าใหญ่ๆ ของคนผู้หนึ่ง เขี่ยที่ขา แม่นางน้อยก็หนาวไปทั้งสรรพางค์กาย
“ลุกไม่ไหวสินะ จับตัวมันไปให้นายท่านดู”
อึดใจต่อมา จวี้ชิงหรานจึงถูกอุ้มพาดบ่าคนผู้หนึ่ง และเสียงพูดคุยดังอยู่ไม่ห่างจากหูแม่นางน้อย จึงทำให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เพียงแค่จวี้ชิงหรานที่ถูกจับตัวได้ หากยังมีเด็กหญิง เด็กชายอีกหลายคนที่ถูกมัดมือ มัดเท้าให้ไปกับคนพวกนี้
“ทั้งหมดสิบสองคนขอรับ”
“ดี เด็กหญิงส่งไปที่เรือนของข้า เดี๋ยวต้องคัดตัวอีกทีว่า ใครเหมาะจะขายให้ขุนนาง หรือใครเหมาะทำงานในรับใช้ในหอคณิกา”
จวี้ชิงหรานยังชาที่หลังคอ ส่วนเสียงของนางยามนี้ เล็ดรอดออกมาได้บ้าง แต่สื่อสารเป็นคำยังไม่ได้
“นังหนู อย่าคิดว่าเจ้าจะร้องให้คนช่วยได้ง่ายๆ หลังจากนี้ ข้าจะป้อนยาแก้พิษให้ แต่ยาดังกล่าว ทำให้เจ้ากลับมาพูดได้เจื้อยแจ้วก็จริง เพียงแต่ อาจหลงๆ ลืมๆ เรื่องในภายหลังไปบ้าง เช่นนั้นก็นับว่าดี เพราะเจ้าจะได้ไม่ต้องคิดถึงผู้ใด และไม่มีเรื่องให้จดจำอีก เพื่อที่จะเอาความคิดกับข้าในภายภาคหน้าไม่ได้”
พ่านถูเอ่ยจบ ก็ยื่นมือมาบีบปลายคางจวี้ชิงหราน
“ฟังให้ดี ต่อจากนี้ข้าก็คือนายท่านของเจ้า”
แม่นางน้อย มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ชวนให้ตกตะลึงมิน้อย มันคือสายตาของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแค้น ยามนั้นพ่านถู ตกใจจัด จึงเผลอออกแรงบีบที่คางเล็กๆ ของจวี้ชิงหรานแรงกว่าเดิม และเป็นเหตุให้น้ำตาเอ่อล้นขอบตาแม่นางน้อย
“ฮ่าๆ ๆ เจ็บสินะ ใช่ หากทำสิ่งใดผิดใจข้า สมควรรู้ไว้ว่าเจ้าต้องได้รับบทเรียน”
พ่านถูเอ่ยจบ เขาก็รู้สึกว่าที่ลำคอเจ็บแปลบๆ ดังนั้นจึงปล่อยมือจากจวี้ชิงหราน แล้วสัมผัสลำคอตน
“นายท่าน! เลือด เลือดไหลไม่หยุดเลยขอรับ”
เสียงคนงานพ่านถูเอ่ย และเขาเกิดอาการหน้ามืด หากยังฝืนทนไว้
“ใครลอบกัดข้า!”
พ่านถูยังมีแรงร้องถาม ก่อนจะเห็นว่า ร่างหนึ่งปราดเข้ามาและถีบกลางหน้าอกเขาอย่างแรง
นายหน้าค้าทาสล้มลงไปกองบนพื้น ปากไม่ทันได้ส่งเสียงใดอีกเพราะถูกปลายกระบี่อ่อนตบใส่หน้าไปอย่างแรง
“บ้านเมืองมีกฎหมาย และชีวิตของเด็กๆ มีค่ามากกว่าให้เจ้าหยิบฉวยนำไปขายได้”
“ฮ่ะๆ ๆ ข้ากับท่านจอมยุทธ์ย่อมใช้กฎหมายคนละฉบับเป็นแน่ อีกอย่าง เมื่อกล้ายื่นมือเข้ามายุ่ง คิดหรือว่าจะรอดพ้นไปได้ง่ายๆ”
พ่านถูยังไม่สิ้นฤทธิ์ เขากล่าวจบก็มีคนมาช่วยพยุงแขนทั้งสองข้างให้ลุกขึ้นยืน และพวกนักเลงรับจ้างอีกนับยี่สิบชีวิตก็มุ่งมั่นหมายจะจับตัวผู้มาช่วยเหลือจวี้ชิงหราน
“พวกเจ้าทุกคนหยุดอยู่ตรงนั้น หาไม่แล้ว ย่อมเท่ากับเป็นการเอาหัวมาให้ข้าตัดเล่น”
น้ำเสียงคนผู้นั้น แม้จะปั้นแต่งให้หนา และเข้มสักเพียงใด หากฟังแล้ว ก็มิต่างจากหนุ่มน้อย
“ท่านจอมยุทธ์ช่างขมขู่เก่งเหลือเกิน ว่าแต่เมื่อคืนนี้ ดื่มนมมารดาก่อนนอน หรือไม่ ดูเหมือนท่าน อาจหลงลืมเรื่องนี้!”
อู๋หยางเทียนที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ด้วยหน้ากากเหล็กตอกสลักเป็นรูปไท่เฝิง (เทพเจ้ามนุษย์ครึ่งเสือ) ครึ่งหน้าด้านบน และยามนี้เขาแยกเขี้ยวขาวๆ อวด แสดงท่าทางให้เห็นว่ากำลังมีโทสะ
“ฮ่าๆ ๆ ประเสริฐ เมื่อเจ้ากล่าวอย่างไม่ยำเกรงต่อข้า ก็สมควรได้รับการสั่งสอน”
คนที่ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะในความเป็นเด็ก กล่าวจบก็ซัดกระสวยพุทราใส่หน้าอกพ่านถู จนอีกฝ่ายต้องกระอักเลือดทีเดียว
“เจ้าต้องการให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเช่นนั้นหรือ”
พ่านถูว่า แล้วบุ้ยใบ้ให้คนบ่ายหน้าเข้าไปจับตัวอู๋หยางเทียน ฝ่ายเขาที่จนป่านนี้ก็ไม่เข้าใจว่า นับแต่พบกันกับแม่นางน้อย เหตุใดจิตใจจึงไม่สงบสุข จนต้องแอบติดตามอีกฝ่ายอย่างลับๆ สุดท้ายเมื่อรู้ว่าตกอยู่ในอันตราย จึงอำพรางตนด้วยหน้ากากไท่เฝิงเพื่อให้การช่วยเหลือ ที่ต้องทำเช่นนี้ ด้วยเขาไม่อยากให้ระหว่างเขากับนางมีบุญคุณต่อกัน อีกอย่างบิดาย้ำว่า มาศึกษาเล่าเรียนห่างบ้าน อย่าก่อเรื่องให้เดือดร้อนถึงสกุลอู๋ ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นจอมโจรผู้ผดุงความยุติธรรมภายใต้หน้ากากไท่เฝิง
“มิได้ ข้าคือพยัคฆ์ขนทอง แม้รังเกียจคนชั่ว แต่ไม่คิดปลิดชีวิตคนอื่นเล่นๆ”
เมื่อกลุ่มของพ่านถูได้ยินว่า พยัคฆ์ขนทอง พวกเขาต่าง หัวเราะกันใหญ่ แต่ก็ส่งเสียงขบขันได้ไม่นาน เนื่องจากเพียงแค่เงาของอู๋หยางเทียนเคลื่อนตัว ร่างเล็กๆ ของจวี้ชิงหรานก็หายไป
เมื่อแม่นางน้อยถูกอีกฝ่ายอุ้มแนบอก และใช้วิชาตัวเบาเดินเหินอย่างคล่องแคล่ว ก็เป็นตอนนั้นที่จวี้ชิงหรานต้องใช้ความคิดจนหัวแทบระเบิด
ในความทรงจำของแม่นางน้อย อู๋หยางเทียน เป็นคนเผด็จการ บ้าอำนาจ คือบุรุษที่นางหลงรักเขาอย่างหมดหัวใจ ก่อนเผชิญกับความข่มขื่น อีกทั้งถูกคนรอบตัวเขารังแก และนางมิได้เป็นภรรยาเอกของเขา ก็แค่เลื่อนชั้นจากสะใภ้น้อย แล้วมาเป็นสาวใช้ห้องข้าง ในวันที่เขาทะเลาะกับคนรัก ก็คว้าตัวจวี้ชิงหรานไปรองรับอารมณ์ ฝ่ายนางกลับคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือความรัก
ความโง่เขลาในครั้งนั้น สร้างความฝันในใจให้แก่เด็กสาว จนอีกหลายครั้งต่อมา นางกับอู๋หยางเทียนได้ ร่วมรักกันอย่างร้อนแรง กระทั่งจวี้ชิงหรานเกิดตั้งครรภ์ และนั่นคือการเดินทางสู่หานยะครั้งใหญ่ของสตรีโง่เขลา
สุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยฐานะสาวใช้... ไฉนจะได้เป็นอนุ หรือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ!
“เจ้าไม่ตายง่ายๆ หรอก แค่แมลงตัวหนึ่งกัด... ของเล่นพวกนี้ ในจวนบิดา มีให้ข้าได้เลี้ยงอยู่หลายตัว”
เมื่อพาแม่นางน้อยมาถึงเรือนรับหลังหนึ่ง อู๋หยางเทียนก็บอกให้ทราบ และดูเหมือนเขาไม่ได้สนใจเรื่องต้องห้ามระหว่างชายใหญ่ เพราะดึงคอเสื้อจวี้ชิงหรานลง แล้วทำคิ้วขมวดเล็กน้อย เพราะจุดที่ถูกกู่ฝังเหล็กในเริ่มเป็นสีม่วงเข้ม
ฝ่ายจวี้ชิงหรานที่ดวงจิตมีความแค้น และชิงชังเป็นทุนต่ออู๋หยางเทียน ก็แสดงท่าทางฮึดฮัด ทั้งเสียงของแม่นางน้อยค่อยๆ จะเปล่งออกมาได้เป็นคำๆ แล้ว
“อย่าแตะต้องเนื้อตัวข้า!”
“เฮอะ ทำคุณบูชาโทษโดยแท้ อีกอย่างคิดหรือว่า เนื้อตัวสกปรกของเจ้า ข้าอยากสัมผัส แต่เพราะสงสาร เลยยื่นมือเข้ามาช่วย”
อู๋หยางเทียนว่าอย่างหัวเสีย ท่าทางของเขาเป็นเช่นนั้น ทว่าลึกๆ แล้วห่วงใยแม่นางน้อย
“ไม่ต้องช่วย ขะ ข้าอยากไปหาพี่ชาย!”
“พี่ชายเยี่ยงนั้นหรือ แต่ดูเหมือนเจ้ากับไอ้เด็กขี้ก้าง ไม่ใช่ญาติกันด้วยซ้ำ หรือว่า ความจริง เจ้าเป็นสะใภ้น้อย ที่ถูกพ่อแม่มันซื้อไว้เป็นเมียให้ลูกชาย!”
“ข้าไม่ได้เป็นสะใภ้น้อยของผู้ใด แม้ท่านช่วยชีวิตข้า แต่เมื่อหยามหมิ่นเกียรติเช่นนี้ ก็ไม่สมควรนับถือ หรือต้องตอบแทนบุญคุณกัน”
เพราะความโกรธ และความฉุนเฉียวที่พลุ่งขึ้นท่วมใจ ยามนั้นไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมาได้อย่างไร ฝ่ามือเล็กๆ ของจวี้ชิงหรานจึงตบไปที่แก้มครึ่งล่างของอู๋หยางเทียนที่ไม่ได้บดบังด้วยหน้ากาก ซึ่งแรงจากฝ่ามือเล็กๆ ไม่ได้ทำให้อู๋หยางเทียนเจ็บนัก แต่มันกลับทำให้เขามันเขี้ยว และอยากเอาชนะแม่นางน้อยผู้นี้ เกิดมาแม้แต่บิดา ยังไม่เคยใช้กำลังกับอู๋หยางเทียน สำหรับเขา หากใครกล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ โดยไม่ได้รับความยินยอม คนผู้นั้นถึงเป็นเพียงเด็กหญิง ตัวเล็กจ้อย ก็ต้องชดใช้อย่างสาสม !