เมื่อความรู้สึกแสบเล็กๆ และชาอยู่สักประเดี๋ยวเดียวที่แก้มหายไป อู๋หยางเทียนจึงคำรามอย่างหัวเสีย ท่าทางเขาอันธพาลมาก ดวงตาคมๆ คู่นั้นคล้ายมีลูกไฟแผดเผาใส่ร่างจวี้ชิงหราน
“ท่านจะกัดข้าหรือ!” จวี้ชิงหรานไม่ได้อยากยั่วยุ แต่แม่นางน้อยเห็นเขาแยกเขี้ยว หน้ากากมนุษย์เสือของอีกฝ่ายที่สวมอยู่ก็ขับให้อู๋หยางเทียน ดูตลกมากกว่าน่าเกรงขาม
อู๋หยางเทียนเจอคู่ปรับเข้าแล้ว แม่นางน้อยช่างเป็นตุ๊กตาที่ปากกล้าขาแข็ง ทั้งยังกล้าหาญเกินตัว
“ฮึ จำคำข้าไว้ให้ดี เจ้าจะได้เป็นสะใภ้น้อยของคนผู้หนึ่งไปชั่วชีวิต” เด็กหนุ่มข่มขู่ เรื่องเช่นนี้ เด็กหญิงคนใดได้ยิน ย่อมต้องเสียขวัญ ในยุคสมัยนั้น การซื้อหาสะใภ้น้อยเข้าเรือนเป็นที่นิยม และเด็กหญิงหลายคนหากไม่พบความสุขไปชั่วชีวิต ก็เหมือนต้องตกนรกทั้งเป็น
“ท่านมีสิทธิใด มาบงการชีวิตผู้อื่น”
อู๋หยางเทียนถลึงตาใส่คนที่จ้องเขาอย่างท้าทาย น่าพิลึก เหตุใดเด็กหญิงที่ท่าทางน่ารักชัง มีเสียงสดใสที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ถึงได้เปลี่ยนไป บางคราเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางเหลือเกิน และนั่นคือเป็นเหตุผลสำคัญที่อู๋หยางเทียน ลอบติดตามนางมาหลายชั่วยาม จนได้พบว่าจวี้ชิงหรานมีภัยเข้าใกล้ตัว
“เพราะข้าคือพยัคฆ์ขนทอง นอกจากเหาะเหินเดินอากาศได้ มีวรยุทธ์ชั้นฟ้า ข้ายังมองเห็นอนาคตของเจ้า”
จวี้ชิงหรานลืมความเจ็บปวดที่หลังตนคอตนไปชั่วขณะ แล้วตบมือเปาะแปะให้เขา
“ที่แท้ ข้าก็มีบุญ ได้ท่านเทพเซียนช่วยเหลือให้ยังมีลมหายใจสืบต่อไป”
อู๋หยางเทียนไม่ได้เบาปัญญา ดังนั้นจึงรู้ว่าเด็กหญิงคนนี้กำลังประชดประชันเขา “อย่าเฉไฉไปเรื่องอื่น จำเอาไว้ อีกไม่นานเจ้าจะถูกซื้อตัวไปเป็นสะใภ้น้อย รับหน้าที่สำคัญนั้น เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ”
จวี้ชิงหรานเบ้ปากให้อู๋หยางเทียน แม้ตัวแม่นางน้อยล่วงรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ใจอยากปฏิเสธ ด้วยไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนสกุลอู๋สักนิด ทว่าชะตากรรมกำหนดไว้ นางต้องเดินหน้าสู่สกุลอู๋ เริ่มจากการช่วยเลี้ยงบุตรผู้อื่น และเป็นสาวใช้ห้องข้างของคนใจร้าย
“ดูเหมือนท่านผู้มีพระคุณได้กำหนดเส้นทางชีวติไว้ให้ข้าแล้ว แต่เสียดาย ข้ามีพี่ชาย และท่านป้า ซึ่งเราคงไม่อาจแยกจากกัน”
“ฮ่าๆ ๆ เช่นนั้น พี่ชายปลอมๆ ของเจ้า สมควรคงถูกคัดเข้ากองทัพ ไปยกน้ำล้างเท้าให้ทหาร หรือเก็บฟืนทำอาหาร เช่นนี้ก็สิ้นเรื่อง”
คำพูดคำจาของอู๋หยางเทียนขัดหูแม่นางน้อย และฉายแววเผด็จการอย่างที่สุด
“ดูเหมือนท่าน ไม่ใช่แค่กำหนดชีวิตให้ข้า หากรวมไปถึงพี่ชายด้วย ผู้ประเสริฐเช่นนี้ ข้าสมควรทำป้ายบูชา หรือสร้างรูปปั้นไว้สักการะ”
อู๋หยางเทียนเลิกคิ้วสูง นี่คงไม่ใช่แค่เขาคิดไปเองว่าแม่นางน้อยช่างปากคอเลาะร้าย หากดูฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ ประเมินแล้วเกินกว่าจะเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า
“เอาล่ะ อย่าเยินยอให้ข้าสูงส่งถึงเพียงนั้นเลย เรามาดูแผลที่ถูกกู่ฝังเหล็กในที่หลังต้นคอเจ้าดีกว่า”
จวี้ชิงหรานแม้จะยังรู้สึกเจ็บแปลบๆ อยู่ หากนางไม่อยากให้อู๋หยางเทียนเข้ามาใกล้กว่านี้ หรือแสดงออกซึ่งความห่วงใย เพราะมันส่งผลให้หัวใจดวงเล็กอ่อนยวบ ทั้งเกิดความผูกพันต่อเขาอย่างประหลาด
“ข้าจะหายาทาเอง ตอนนี้ ไม่ขอรบกวนท่าน”
“เหลวไหล เจ้าอายุเท่าใดกัน อีกอย่างตอนนี้ฟ้ายังไม่ทันสางด้วยซ้ำ พักผ่อนที่นี่เถิด อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนในอารามร้าง และยังมีของกินอีกด้วย”
“น้ำใจท่านข้าไม่ขอรับไว้อีก กลัวว่าจะตอบแทนไม่ไหว และหากเรียกเก็บเงินภายหลัง ก็เกรงว่าอาจต้องติดหนี้ท่านไปถึงชาติหน้า”
อู๋หยางเทียนตงิดใจ และมองจวี้ชิงหรานอย่างพินิจกว่าเดิม
“เจ้าพูดเหมือนเรารู้จักกัน”
“แม้การที่ท่านยื่นมือเข้ามาช่วยข้าครั้งนี้ ยังไม่เอ่ยปากเรียกเก็บเงินสักอีแปะ แต่สมองอันน้อยนิดที่ข้ามี ล่วงรู้ว่า ท่านนั้นแซ่อู๋ และไม่ได้มีนามว่า อี้ซาน!”
อู๋หยางเทียนฉงนอย่างหนัก และประหลาดใจเป็นล้นพ้น ดังนั้นจึงต้องถามว่า
“ในร่างกายเล็กๆ ของเจ้านี้ มีวิญญาณยายแก่ หรือปีศาจตนใดสิ่งอยู่หรือไม่”
เป็นตอนนั้นที่จวี้ชิงหรานถลึงตาใส่อีกฝ่าย และตอบน้ำเสียงสะบัด พร้อมท่าทางที่โตเกินวัยอยู่สักหน่อย
“หยาบคาย ข้าอายุเพียง 6 ขวบ และข้างในร่างกายนี้ คงมีแต่เทพธิดา เท่านั้นที่ประทับอยู่!”
ในที่สุดอู๋หยางเทียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะห้าวใหญ่ เขาชอบใจแม่นางน้อยผู้นี้เหลือเกิน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาต้องได้นางมาอยู่ใกล้ๆ ไว้เป็นเพื่อนคุยเล่นยามหงุดหงิด หรือเวลาที่ต้องการ คนไว้ต่อปากต่อคำ
“ใช่ข้าแซ่อู๋ และหาใช่น้องซาน ญาติผู้น้อง คนที่เจ้ามองเขาตาแป๋ว เมื่อตอนที่เราพบกันในป่าลึก”
อู๋หยางเทียนว่า และคอยมองสีหน้าของจวี้ชิงหราน เมื่อเห็นนางทำสีหน้าคล้ายสตรีใจร่าน ยามเพ้อหาบุรุษที่มีใจให้ เด็กหนุ่มก็มีอาการฮึดฮัด
“เสียใจด้วย ที่ข้าต้องบอกว่า น้องซานมีคู่หมั้นเป็นถึงท่านหญิงน้อย แม้เขาดูสุภาพ และอ่อนโยน ทว่าไม่เหมาะสมกับคนเร่ร่อนแน่นอน”
“ข้าไม่ใช่คนเร่ร่อน แม้จน แต่มีศักดิ์ศรี ใช่ว่าผู้ใดจะหยามหมิ่น”
“เยี่ยม เจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ที่ได้ตอแย... เอ๊ย ที่ได้ ยื่นมือเข้ามายุ่งกับชีวิตน้อยๆ ที่น่าสงสาร”
จวี้ชิงหรานเอะใจต่อคำพูดอู๋หยางเทียน และดูเหมือนว่าในยามนั้น มีหลายสิ่งที่ทำให้แม่นางน้อยสงสัย เขาคือต้นเหตุที่ทำให้นางต้องเสียทั้งลูกชาย และชีวิตของตนเองจริงๆ หรือไม่ ด้วยยามนี้หัวใจจวี้ชิงหรานสัมผัสได้ถึงความห่วงใยต่อแม่นางน้อย ที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทาง และคำพูดร้ายๆ ของอู๋หยางเทียน