บทนำ ย่าฉวีตายเพราะสมบัติ
'บ้านนี้เมืองนี้อยู่ยากมาตั้งแต่ยุคสมัยไหนๆแล้ว' คำพูดนี้ดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะอยู่อย่างไรก็ทุกข์ใจ ทั้งๆที่เป็นผืนสวรรณภูมิแผ่นดินทอง ทุกสิ่งทุกอย่างเจริญงอกงามเพียงแค่กลบดินฝัง
แต่...เหตุฉไนกลับทำให้ใจคนต้องร้าวรานอยู่เสมอ
เสียไปมากเพียงใดแล้วกับคำว่า ค่านิยม ประเพณี ขนบธรรมเนียม
ในสมัยก่อนลูกสาวลูกชายต้องเชื่อฟังพ่อแม่ในการเลือกแต่งงาน พอแต่งไปแล้วสามีภรรยาก็ไปรักคนอื่น เกิดเรื่องชิงรักหักสวาทกันวุ่นวายไปเสียหมด
ในกาลต่อมาแม้ผู้คนมีอิสระแต่ความมักง่ายเกิดขึ้นในสันดานของคนแผ่นดินนี้มานมนาน มีหรือจะเลิกลาได้ง่ายดาย ก็นอกใจมีชู้ เล่นหนุ่มสาวกันไปทั่ว มั่วซั่วจนไม่รู้ว่าลูกใครพ่อแม่ใคร
หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะจับมือเด็กสองคนและเอ่ยปากสอน สายตาพยายามไม่มองไปยังคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
"รู้มั้ยว่าทำไม ทั้งที่อยู่ในแผ่นดินทอง แต่ใจคนจึงไม่สว่างไสวดั่งแผ่นดินอาศัยอยู่"
"ทำไมเหรอคะคุณย่าทวด" เด็กน้อยเอ่ยถาม บางคนก็ทำหน้าตาเบื่อหน่าย แต่บางคนก็อยากรู้อยากเห็นจริงๆ
"เพราะใจคนนี้มีโลภ โกรธ หลง มัวเมาในกิเลศ ยึดติดในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน หรือแม้เป็นของตนก็เป็นไม่นาน พอตายไปแล้วก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ ดูอย่างปู่ทวดของพวกแกสิ ตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้กระทั่งเมียน้อยสิบๆคนของเขา เอาเงินไปได้ที่ไหน เขาก็ให้แค่เงินที่อมในปากเท่านั้นแหละ"
"คุณแม่พูดแบบนั้นก็เกินไปนะครับ" เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น ก่อนที่กลุ่มคนซึ่งมีปากเสียงกันอยู่อีกฟากจะย้ายมานั่งลงบนโซฟา ล้อมรอบหญิงชรา
'คุณนายฉวี' หญิงชราผู้ร่ำรวยที่สุดในตอนนี้ หลังจากสามีเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนกลับมาแย่งชิงสมบัติ เมื่อเปิดพินัยกรรมของเสี่ยชัย ผู้เป็นสามีของเธอแล้วพบว่า เขาบริจาคทรัพย์สินส่วนหนึ่งเป็นการกุศล ส่วนลูกๆให้แบ่งทรัพย์สินเท่าๆกัน
ดังนั้นจึงมีคนที่พอใจและไม่พอใจ บ้างก็ว่ามีลูกหลานในบ้านตนมากกว่า บ้างก็ว่าดูแลกิจการ ดูแลพ่อแม่มานานกว่า
คุณนายฉวีกลับไม่อยากยุ่งเสียแล้ว เธออยู่ในโลกมานานพอที่จะเบื่อหน่ายกับการแย่งชิง แต่ก่อนก็แย่งชิงความรักจากสามี พยายามทำให้ลูกๆของตนนั้นดีกว่าลูกๆของภรรยาน้อยเกือบสิบคนของสามี
แต่พอมานั่งคิดย้อนดูแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ ทุกข์ทั้งกายทั้งใจ มีเงินมากก็ทุกข์มาก มีเงินน้อยก็ทุกข์เช่นกันแต่ทุกข์คนละแบบ เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะโลภมากไปเพื่ออะไร
เมื่ออายุขนาดนี้แล้วคุณฉวีกลับเหนื่อยใจ ไร้ซึ่งห่วงหา เพราะลูกหลานก็ไม่ได้ดีกับหล่อนขนาดนั้น นี่อาจเป็นทุกข์ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่มีเงินมาก หากมีเงินน้อยแต่มีครอบครัวที่รักใครกลมกลืนก็คงจะดีกว่าไม่น้อย แต่เวลาก็ย้อนกลับไปไม่ได้นึกเสียดายอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้
คุณฉวีคิดถึงขั้นว่าหากเธอเลือกได้จะไม่แต่งงานกับเสี่ยชัยตามคำสั่งของบิดามารดา ในยุคนั้นการเลือกที่ไม่ได้เลือกเองช่างแย่เสียจริง
"ฉันพูดผิดตรงไหน เงินมันสำคัญมากนักหรืออย่างไร สุดท้ายพ่อพวกแกตายไปก็ไม่ได้อะไร พ่อพวกแกทำงานงกๆๆตั้งแต่หนุ่มจนแก่ แต่ใครล่ะเป็นคนเสพสุขจากเงินนั้นถ้าไม่ใช่ลูกอกตัญญูอย่างพวกแก"
"คุณแม่ คุณแม่เป็นอะไรคะ ปกติคุณแม่จะไม่พูดแบบนี้ คุณพี่ เราพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลดีมั้ยคะ" ลูกสะใภ้คนหนึ่งเอ่ยถาม
ความจริงฉวีเป็นเมียหลวงที่ดี เป็นแม่ใหญ่ที่เมตตาเกือกูลลูกๆของเมียน้อยทุกคนจริงๆนั่นแหละ แต่เธอก็สุดจะทนแล้ว ไม่รู้ทำไมยิ่งแก่คนรักก็ยิ่งน้อยลง กระทั่งลูกที่เลี้ยงมากับมือก็ยังหมดรักพ่อแม่ เพียงเพราะเรื่องสมบัติ
"พวกแกคุยเรื่องสมบัติมาสามวันแล้วไม่จบซะที ฉันจะไม่พูดได้งั้นเหรอ สมบัติมันแบ่งยากที่ตรงไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นเงิน เป็นทอง เป็นที่ดิน ก็แค่แบ่งกันไปตามมูลค่าไม่ได้รึยังไง รวมออกมาเป็นมูลค่าตัวเงินแล้วหารกันไปเลย ใครอยากได้ส่วนไหนก็ค่อยดูว่าเงินมรดกส่วนของตัวนั้นมีมูลค่าพอรึเปล่าไม่ใช่รึยังไงกัน จะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม"
"คุณแม่ ที่ดินเหล่านั้นเก็บมาตั้งแต่สมัยก่อน หาซื้อไม่ได้อีกแล้วจะขายทิ้งได้ยังไงครับ"
"ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแต่ให้พวกแกตีมันเป็นตัวเงิน แล้วค่อยหารกันมันไม่ลงตัวรึยังไง แล้วถ้าใครอยากได้ที่ก็แค่เอาตัวเงินในมรดกส่วนตัวเองนั้นไปแลกกับพื้นที่ตรงนั้นถ้าใครอยากจะเก็บไว้ล่ะก็ แต่ถ้าไม่มีใครเอาอยากได้แต่เงินก็แค่ขายไป นี่ฉันฉลาดหรือพวกแกโง่"
"คุณแม่อายุมากแล้ว อย่ามายุ่งเรื่องพวกนี้เลยครับ พวกผมจัดการได้"
"จัดการได้ จัดการมาสามวันแล้วไม่เสร็จซะที เด็กๆพาเหลนๆฉันออกไปก่อน วันนี้ยังไงฉันก็จะคุยเรื่องสมบัติบ้าบอนี่ให้จบ ฉันไม่มานั่งทนฟังพวกแกทะเลาะกันในบ้านฉันอีกแล้ว"
"คุณแม่คะ แต่ที่เราคุยกัน บ้านนี้คุณใหญ่จะได้รับ เพราะดูแลกิจการและดูแลคุณพ่อคุณแม่"
"ใครบอกพวกแกอย่างนั้น ฉันยังอยู่ บ้านนี้จะเป็นของคนอื่นได้ยังไง" คุณฉวีเริ่มมีน้ำโหจนเลือดขึ้นหน้า บ้านนี้เป็นบ้านมรดกที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอมอบให้เป็นเรือนหอ แต่ก็เป็นสมบัติภายใต้ชื่อของเธอ เธอยังไม่ตายลูกๆก็คิดจะแบ่งสมบัติกันแล้ว จะให้บอกว่ามันกตัญญูได้อย่างไร
"คุณแม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ"
"ฉันยังไม่ตาย พวกแกจะมาแบ่งสมบัติกันอย่างนี้ไม่ได้ ให้ฉันตายก่อนเถอะแล้วพวกแกค่อยแบ่งสมบัติกันตามจะ จะฆ่าจะแกงกันก็ตามสบาย ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้วเพราะฉันตายไปแล้ว ไป ๆ ออกไปจากบ้านฉันให้หมดแล้วอย่ากลับมาจนกว่าฉันจะตาย!"
ฉวีกล่าวเช่นนั้นก่อนจะบอกให้คนรับใช้ส่งคนออกไป เธอไม่คิดว่าลูกหลานของตนเองจะเป็นคนเช่นนี้ พวกเขาถูกความโลภบังตาจนไม่เห็นเลยว่าน้ำตาของแม่ไหลออกมาจนจะท่วมแผ่นดิน
แผ่นดินนี้แม้อุดมสมบูรณ์มากเพียงใด แต่กลับไม่ช่วยให้หัวใจของคนหยุดชอกช้ำเสียที หากเลือกได้ ฉวีจะสอนลูกหลานให้ดี เอาธรรมะเข้ามาเสริม ไม่ให้พวกเขากลายเป็นผีหิวโหย เจ้ากรรมนายเวรจองล้างผลาญเธอจนตายเช่นนี้
ฉวีก็ไม่คิดเหมือนกันว่า คำพูดของตัวเองจะเป็นความจริงเร็วขนาดนั้น คุณนายฉวีเสียชีวิตอย่างสงบบนเตียงนอน ไม่มีโอกาสได้เห็นว่าลูกหลานจะทำอย่างไรต่อไป
และไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว...ถ้าเธอไม่ได้รับโอกาสอีกครั้ง