ฉันวางปากกาลงที่โต๊ะทำงานพลางยกมือขึ้นมาบิดความเมื่อยล้าจากการที่ตัวเองนั่งอ่านเอกสารมาเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง
ดวงตาสอดส่องมองเลยไปยังนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะทำงานพาลให้ดวงตาเบิกโพล่ง ก่อนที่ฉันจะเบนสายตาไปหาใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้องพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อย ๆ ประดับขึ้นมาข้างมุมปากอย่างไม่ทันได้รู้สึกตัว
หญิงสาวที่อยู่ร่วมห้องกันนั้นกำลังนอนหลับคุดคู้อยู่บนโซฟาตัวหรูและกอดตัวเองเอาไว้หลวม ๆ จากอากาศเย็นฉ่ำที่ตัวร้ายของการกระทำนั้นก็คือเครื่องปรับอากาศ
ฉันชั่งใจเพียงครู่ว่าควรจะเดินไปปลุกเกรซให้ตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้วดีหรือเปล่า หรือว่าจะปล่อยให้เจ้าหล่อนนอนอยู่อย่างนั้นเพราะดูท่าแล้วรอยยิ้มที่ประดับอยู่ข้างมุมปากน้อย ๆ นั้นก็บ่งบอกแก่ฉันได้เป็นอย่างดีเลยว่าเธอกำลังหลับฝันดีมากแน่ ๆ
จะว่าไปแล้วก็น่าอิจฉาจังนะ...ตัวฉันเองไม่ได้นอนหลับฝันดีแบบเธอมานานขนาดไหนกันแล้วก็ไม่อาจจะแน่ใจได้นัก
เหตุผลส่วนใหญ่คือก่อนหน้านี้ฉันนอนหลับด้วยความหวาดระแวงกลัวว่าสามีของตัวเองจะนอกใจไปมีผู้หญิงคนอื่นหลังจากที่ฉันจับได้คาหนังคาเขาเป็นครั้งแรกอีกแล้วหรือเปล่า
ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดขึ้นอีกหลายครั้งหลายคราให้ความอดทนและความรักของฉันมันค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปที่ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่มีความรักหลงเหลืออยู่แล้วแต่ฉันก็ยังคงนอนฝันร้ายอยู่ทุกคืนวันด้วยความสงสัย...ว่าฉันทำผิดที่ตรงไหน
ร่างสูงโปร่งของลูกครึ่งสาวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินไปนั่งยอง ๆ ลงที่ด้านข้างโซฟาตัวที่เพื่อนสาวที่สนิทที่สุดกำลังนอนหลับ พลางสบมองเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดูจนล้นอก
มือบางเอื้อมไปจับไหล่ของเจ้าหล่อนก่อนจะเขย่าเรียกแผ่วเบา ซึ่งไม่นานเธอก็ลืมตาตื่นแต่ยังสะลึมสะลือไม่ยอมลุกขึ้นจากท่านอนแต่อย่างใดให้ฉันยกยิ้มขันกับความขี้เซาของเพื่อนสนิทคนนี้
เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่น่ารักอยู่เสมอ...แม้ในยามที่เกรี้ยวกราดชอบกลั่นแกล้งกันเมื่อตอนมัธยมปลายแต่เธอก็ยังแฝงเต็มไปด้วยความโก๊ะและความบ้าบิ่นให้ฉันได้มีรอยยิ้มอยู่ทุกครั้งไป
“ลงไปหาอะไรกินกันเร็ว...เที่ยงแล้ว”
“จริงเหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าหล่อนก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันใดราวกับรอเวลานี้มานานมากแล้ว
เกรซเป็นนางแบบ ลูกคุณหนู ลูกคนรวยที่ไม่ต้องทำงานก็มีอันจะกินไปตลอดทั้งชาติ เธอจึงเลือกรับเฉพาะงานที่เธออยากทำเท่านั้น แต่หากรับงานหนึ่งแล้วก็จะใช้ระยะเวลานานและเธอก็จะหายไปนานกว่าหลายสัปดาห์ พอกลับมาจากทำงานเมื่อไรก็มักจะมาคลุกตัวอยู่กับฉันที่นี่เพื่อเป็นเพื่อนกันเสมอไม่เคยขาด
มีช่วงที่ฉันใกล้จะแต่งงานเท่านั้นที่หล่อนเงียบหายไปนานหลายเดือนจนกระทั่งถึงวันแต่งงานของฉัน เธอกลับมาพร้อมกับชายคนหนึ่งที่เป็นแฟนหนุ่มของเธอในช่วงเวลานั้นแบบเป็นปริศนา...เพราะปกติแล้วเรามีอะไรก็จะบอกกันทุกเรื่องเสมอ
ซึ่งเกรซไม่ได้บอกอะไรฉันเกี่ยวกับแฟนหนุ่มคนนั้นของเธอ...
แต่เวลาผ่านไปหลังจากที่ฉันแต่งงานเพียงแค่หนึ่งเดือนเศษเจ้าหล่อนก็กลับมาบอกว่าเลิกกับชายหนุ่มคนนั้นไปแล้ว และน่าแปลกที่เธอไม่ได้มีทีท่าว่าจะเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใดเลย
เกรซอยู่ในทุกช่วงเวลาของฉันเสมอตั้งแต่ที่สามีของฉันนอกใจครั้งแรก...และจนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังคงอยู่เคียงข้างกัน อยู่เคียงข้างกับฉันเสมอจนฉันมองตัวเองในอนาคตที่ไม่มีเธอไม่ออกอีกต่อไปแล้ว
“อยากกินบะหมี่เกี๊ยวหน้าบอ...”
“งั้นก็ไปกินกันเลย”
ฉันลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและส่งมือไปด้านหน้าให้ใครอีกคนได้จับ
เจ้าหล่อนมองมือของฉันสลับกับใบหน้าของกันเล็กน้อย ก่อนจะเลือกลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงด้วยตัวเองและเดินจากออกไปด้วยใบหูแดงระเรื่อให้ฉันเผยยิ้มขันเพราะเกรซยังคงเป็นคนที่น่ารักเสมอ...แถมขี้เขินอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนผัน
เรากดลิฟต์ลงมาจากชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหาร มีผู้คนทยอยขึ้นลิฟต์ตามมาจากชั้นต่าง ๆ แต่ก็ค่อนข้างบางตาเพราะเลยเวลาอาหารกลางวันมานานกว่า 15 นาทีแล้วเห็นจะได้
ตลอดชั้นที่มีคนเข้าใหม่ฉันก็มักจะได้รับการทักทายที่ดีจากลูกน้องของตนอยู่เสมอเนื่องจากว่าฉันค่อนข้างที่จะสนิทกับพวกเขา
แม้ใบหน้าของฉันจะดูเหวี่ยงวีนไปบ้างในบ้างทีแต่พนักงานที่ทำงานกับฉันจะรู้เสมอว่าฉันนั้นเป็นคนที่คุยเก่งและยิ้มง่าย ฉันจึงสนิทกับพวกเขาได้อย่างสบาย ๆ แต่ทุกคนยังคงให้การนับถือฉันกับเกรซอยู่เสมอ
อ้อ...จริง ๆ แล้วยัยคนนี้ก็มีหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ที่บริษัทเครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตของฉันเฉกเช่นเดียวกัน
“คุณจอร์เจีย คุณเกรซ...สวัสดีค่ะ”
เมื่อลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ 13 พนักงานที่กำลังจะเข้ามาใหม่ก็กล่าวทักทายฉันเป็นปกติ
ซึ่งคนที่ดึงความสนใจของฉันไม่ใช่คนที่เอ่ยทักแต่กลับเป็นคนข้าง ๆ ของเจ้าหล่อนคนนั้นที่กำลังจะเดินเข้ามาภายในตัวลิฟต์ด้วย
ปัญฑารีย์ยกยิ้มให้กันเจือจางและเดินเข้ามาโดยสารตัวลิฟต์ที่ฉันอาศัยลงมา ฉันยืนมองแผ่นหลังของเจ้าหล่อนที่อยู่ด้านหน้าด้วยความคิดมากมายที่กำลังหลั่งไหล
แต่คนข้างกายของฉันอย่างเกรซกำลังแสดงสีหน้าแห่งความไม่พอใจออกมาอย่างไม่มีปิดบังจนฉันต้องเอื้อมมือไปบีบกับมือของเธอเบา ๆ เพื่อให้เกรซนั้นใจเย็นลงและไม่ทำอะไรวู่วาม
เกรซมักจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันทุกครั้งเวลาที่ไอคนชั่วคนนั้นทำให้ฉันต้องเสียน้ำตา...และเกรซจะเข้ามาปกป้องฉันเสมอแม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าฉันน่ะเป็นยัยตัวแสบมากกว่าเธอที่อาศัยความบ้าบิ่นเสียอีก
ติ๊ง!
ลิฟต์ถูกเปิดออกยังชั้นล่างสุดให้ทุกคนต่างก็ทยอยออกไปจากตัวลิฟต์รวมไปถึงปัญฑารีย์...ซึ่งฉันก็รีบเดินหน้าไปหาเธอในทันใดเมื่อคิดอะไรได้แล้ว
“คุณปัญฑารีย์คะ!”
ทุกคนที่เดินไปกับเธอหันมาจดจ้องมองฉันเป็นตาเดียวรวมไปถึงเธอด้วย
“ว่าไงคะคุณจอร์เจีย”
เจ้าหล่อนยกยิ้มให้แก่กัน
และฉันมองออกว่ารอยยิ้มของเจ้าหล่อนนั้นกำลังเย้ยหยันกันอยู่กราย ๆ ให้ตอนนี้ฉันแอบได้ยินเสียงกัดฟันกรอดของคนข้างกายอย่างเกรซแล้ว
“จะไปทานข้าวที่ไหนคะ วันนี้จะทานที่โรงอาหารหรือเปล่า?”
ฉันเอ่ยถามออกไปอย่างมีไมตรี
แต่เกรซกลับหันมาจดจ้องมองฉันอย่างไม่เข้าใจให้ฉันต้องเอื้อมมือไปหยิกหลังของเจ้าหล่อนแรง ๆ ว่าให้อยู่เฉย ๆ และอย่าทำอะไรผลีผลามเป็นอันขาด
“อ๋อ ใช่ค่ะ แล้วคุณจอร์เจียกับคุณ...”
“อ๋อนี่เกรซค่ะ เป็นเพื่อนสนิทของฉันแล้วก็เป็นหุ้นส่วนของบริษัทด้วย”
“อุ้ย! สวัสดีค่ะคุณเกรซ ขออภัยที่ตอนแรกไม่ได้ทักทายนะคะ...พอดีไม่แน่ใจว่าคุณเป็นใคร”
เจ้าหล่อนยกยิ้มออกมาอีกแล้ว
และตอนนี้ฉันจับท่าทางของเกรซได้เป็นอย่างดีเลยว่าคงจะกำลังเก็บกลั้นอารมณ์ของตัวเองแบบสุดขีด
“ถ้าอย่างนั้นปัญขอ...”
“ไปทานด้วยกันสิคะ ฉันเองก็กำลังจะไปโรงอาหารพอดี”
“ห้ะ?”
“ใช่ไหมเกรซ...ก็ไหนว่าเราจะทานข้าวที่บริษัทไง”
ฉันหยิกหลังเพื่อนสนิทแรง ๆ อีกทีให้เจ้าหล่อนหน้าเบ้แต่ก็พยักหน้าตอบรับ
ก่อนที่เราทั้งหมดรวมไปถึงบุคคลที่มากับเธอด้วยนั้นจะเดินไปที่โรงอาหารด้วยกัน ท่ามกลางสายตาแห่งความไม่พอใจของเกรซที่ฉันแอบกระซิบไปแล้วว่าจะชดเชยให้อย่างสาสม
ในที่สุดตอนนี้ฉันก็มานั่งอยู่บนโต๊ะแต่เพียงลำพังเนื่องจากว่าเกรซอาสาว่าจะไปซื้อเครื่องดื่มมาให้ และตอนนี้ฉันกำลังรอการมาถึงของทุก ๆ คน ซึ่งฉันเห็นว่าปัญฑารีย์กำลังจะเดินมาทางนี้แล้วท่ามกลางผู้คนที่รายล้อมเธอราวกับว่าเธอนั้นเป็นจุดศูนย์กลางก็มิปาน
ปิ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นให้ฉันต้องเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง
ก่อนที่ดวงตาของฉันจะกรอกเป็นเลขแปดอย่างนึกรำคาญผู้ชายคนนี้ที่ส่งข้อความมาหากันไม่หยุดหย่อน เกือบเดือนแล้วเห็นจะได้ ทั้ง ๆ ที่ฉันยื่นคำขาดไปตั้งขนาดนั้นแต่เขาก็ยังพยายามจะตามตื้อไม่เลิกลา
‘เย็นนี้เราไปดินเนอร์กันดีไหมครับ...ผมมีร้านอาหารร้านใหม่ที่อยากไปลองทานกับคุณ’
‘ผมมาง้อคุณแล้ว...เราดีกันเถอะนะครับคุณภรรยา’
‘วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเรานะครับ’
“ว้าว! ก๋วยเตี๋ยวไก่ของคุณจอร์เจียน่าทานจังเลยค่ะ”
ฉันเงยหน้าสบมองคนที่เอ่ยทัก ก่อนจะยกยิ้มออกมาบาง ๆ เพราะเธอคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่คือชู้ของสามีฉันทียิ้มหน้าระรื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา
และยิ่งได้เห็นข้อความของผู้ชายห่วย ๆ คนนั้นแล้วฉันก็ยิ่งนึกโกรธเคือง...
‘ฉันไม่ไป’
‘เลิกติดต่อฉันมาเสียที!’
และฉันก็กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอย่างนึกโมโห
ปัญฑารีย์นั่งลงฝั่งตรงข้ามของฉันพร้อม ๆ กับเพื่อนใหม่ของเธอที่นั่งเรียงกัน ไม่นานเกรซก็กลับมานั่งเคียงข้างกับฉันพร้อมกับน้ำเปล่าสองขวด และเราก็เริ่มลงมือทานอาหารกันโดยที่คนตรงข้ามของฉันนั้นพูดคุยเป็นต่อยหอยกับเพื่อนร่วมงานเว้นเสียแต่ฉันที่มีเพียงเกรซที่พยายามชวนคุยเท่านั้น
ตื้อดึ่ง!
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์จากคนฝั่งตรงข้ามดึงความสนใจให้สายตาของฉันดันเผลอไปสบมอง
ฉันแอบเห็นว่าเป็นข้อความจากใครสักคนหนึ่งที่เจ้าหล่อนตั้งชื่อเอาไว้ว่า ‘คุณสามี’ แต่ไม่ทันได้เห็นข้อความใด ๆ เจ้าหล่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นไปกดตอบก่อนแล้ว
“น้องปัญมีสามีแล้วเหรอคะ ต๋าย! เห็นแค่รูปเล็ก ๆ ยังรู้เลยว่าหล่อ”
เป็นเสียงของคนที่นั่งข้าง ๆ กับหล่อนที่เอ่ยทักขึ้นมา
ซึ่งอยู่ ๆ หล่อนก็เปรยสายตามาสบมองฉันเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มและพูดอย่างเขินอายแต่ฉันกลับดูออกว่าเจ้าหล่อนกำลังพยายามจะยั่วโมโหกัน
“ยังหรอกค่ะพี่แพร...รอเขาไปเคลียร์อะไรกับตัวเองนิดหน่อย”
เจ้าหล่อนเปรยสายตามาทางฉัน และยกยิ้มแบบมารยาให้ฉันจดจ้องมองใบหน้าของเธออย่างนึกสนุกสนาน
“นี่เขาก็ชวนไปทานข้าวเย็นนี้...เห็นว่าจะพาไปร้านเปิดใหม่ที่เปิดแถว ๆ สาทรน่ะค่ะ”
“ต้องเป็นร้านอาหารอิตาเลียนร้านที่พี่เคยขับรถผ่านแน่ ๆ แฟนน้องปัญน่าจะรวยมากเลยใช่ไหมคะเพราะพี่เห็นราคาอาหารยังไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่าน”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะพี่แพร”
และเธอก็ทำทีเป็นเขินอายอย่างออกนอกหน้า
“นี่!”
“อิ่มยังเกรซ”
ฉันแทรกเพื่อนสนิทออกมาทันควันก่อนที่เจ้าหล่อนจะเผลอโพล่งออกมาทำให้แผนของฉันเสียหาย
ซึ่งเกรซก็หันมามองหน้าของฉันอย่างไม่ชอบใจเท่าไรที่ฉันขัดขวาง แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับเมื่อฉันกดดันเธอผ่านสายตาว่าเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเอง
“งั้นฝากเอาถ้วยไปเก็บหน่อย ฉันว่าจะไลน์หาพี่เทอร์น่ะ”
“แล้วแกจะไปไลน์หาไอ้ผู้ชาย...”
“รีบไปรีบมานะ ฉันรอนี่”
ฉันเอ่ยแทรกเพื่อนสนิทให้เจ้าหล่อนฟึดฟัดอีกครั้งแต่ก็ยอมทำตาม
ก่อนที่ฉันจะเงยหน้าสบมองคนตรงข้ามเล็กน้อย แต่เจ้าหล่อนกลับยิ้มร่าอย่างมีความสุขเพราะคิดว่ายั่วยุฉันได้จนสำเร็จแล้ว
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
“โทรมาทำไมคะ?”
‘ผมก็ต้องรีบโทรมาสิครับ คุณชวนผมไปทานข้าวเย็นนี่!’
ฉันที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไลน์หาเขาเพื่อทำตามแผนเฉย ๆ แต่เขากลับโทรมาหาให้ฉันต้องกดรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ค่ะ ก็ตามนั้นนะคะ”
‘ให้ผมไปรับไหมครับ เราจะได้ไปด้วยกัน’
เขาถามกลับมาอย่างกระตือรือร้น
และฉันรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ฉันกำลังเป็นเป้าสายตาของบุคคลทั้งโต๊ะ...โดยเฉพาะปัญฑารีย์ที่ท้าวคางมองฉันอย่างจดจ่อ แถมเธอยังยกยิ้มตลอดเวลาที่ฉันกำลังคุยโทรศัพท์
“ไม่ค่ะ ฉันจะไปเอง”
ฉันจึงวางคางของตัวเองลงบนฝ่ามือบ้าง
พร้อมกับรอยยิ้มของฉันที่ยกขึ้นมาจาง ๆ และสายตาของฉันเองก็จดจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม...โดยไม่คิดที่จะหลบสายตาของเจ้าหล่อนแต่อย่างใด
เธออย่าคิดว่าเธอ...จะปั่นประสาทฉันได้อยู่ฝ่ายเดียว
และฉันจะไม่เป็นคนพูดมันออกมาว่าเธอเป็นชู้...แต่ต้องเป็นไอผู้ชายห่วยแตกคนนั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสารภาพพูดมันออกมาให้ต้องอับอาย
“ฉันจะพาคน ๆ หนึ่งไปให้คุณรู้จัก”
‘ใครเหรอครับ?’
เขาถามออกมาอย่างสงสัย
รอยยิ้มของฉันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นยกขึ้นมุมปาก แต่รอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...กลับค่อย ๆ หุบลงอย่างคนกำลังสงสัยว่าฉันคิดที่จะทำอะไรกันแน่
“คนที่สวยมาก ๆ คนที่ฉันกะว่าเธอคนนี้...จะเป็นภรรยาในอนาคตของฉัน”