บทที่ 13: แรงแค้น
ตุตันหัวหน้าเผ่าผาขามผู้รุกรานยืนอยู่บนเนินสูง มองลงไปยังกองทัพของตนที่กระจายตัวออกไปเต็มทุ่งราบที่กว้างใหญ่ ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความหวัง เขาเคยเชื่อมั่นว่ากองทัพที่แข็งแกร่งของตนจะสามารถพิชิตศัตรูได้ในไม่ช้า แรงฮึกเหิมของนักรบแต่ละคนที่ร้องคำรามพร้อมที่จะทะลุทะลวงเข้าไปทำลายข้าศึก ความโกรธที่อัดแน่นในอกถูกปล่อยออกมาทุกครั้งที่กลองศึกดังขึ้น
แต่ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทุกอย่างกลับพลิกผัน
เสียงกรีดร้องอันแหลมคมดังขึ้นจากแนวรบ นักรบของเขาเริ่มล้มลงทีละคน สับสนและหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าศัตรูใช้วิธีการใดในการโจมตี เสียงฟึดฟัดของอาวุธที่มองไม่เห็นดังลอดมาท่ามกลางลมพัด อาวุธนั้นไม่ใช่ดาบหรือธนูที่เขาคุ้นเคย แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นพุ่งทะลุผ่านร่างนักรบเหล่านั้น ทำให้พวกเขาล้มลงเหมือนถูกสาป
หัวหน้าเผ่าผาขามขยับม้ามองดูการโจมตีนี้ด้วยความหวาดหวั่น
เขาเห็นทหารของตนพยายามตอบโต้ แต่กลับโดนสยบลงอย่างง่ายดาย บางคนวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว บางคนล้มลงโดยไม่รู้สาเหตุเหมือนถูกพลังลึกลับซัดเข้าใส่ แต่ละก้าวที่พวกเขาวิ่งกลับมาหาเขาเต็มไปด้วยความอ่อนแอและความขี้ขลาด เสียงกรีดร้องของทหารที่โดนสังหารผสานเข้ากับเสียงร้องไห้ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ตุตันหัวหน้าเผ่าผาขามขบฟันแน่น ความเกลียดชังและความสิ้นหวังปะทุขึ้นในใจ เขาไม่เคยเห็นทัพของตนตกอยู่ในสภาพงอกง่อยเช่นนี้มาก่อน พวกเขาเป็นนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่วันนี้พวกเขากลับล้มตายราวกับใบไม้ร่วง พลังงานที่มองไม่เห็นทำให้ทุกคนหมดสิ้นความกล้าหาญ ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะทำได้ในขณะนี้นอกจากมองดูความพินาศที่อยู่เบื้องล่าง
ตุตันหัวหน้าเผ่าผาขามรู้สึกถึงความหนาวเย็นแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย เขามองไปยังท้องฟ้า ท่ามกลางแสงแดดที่เคยสาดส่อง บัดนี้มีหมอกหนาจางๆ ลอยขึ้นมาปกคลุม เขารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่สงครามธรรมดา นี่คือสงครามที่ต้องเผชิญกับพลังที่เหนือธรรมชาติ พลังที่เขาไม่เข้าใจ
“กองทัพที่มองไม่เห็น”
สายลมแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการต่อสู้ทำให้หัวหน้าเผ่ารู้สึกถึงพลังที่น่ากลัว เขาหันไปมองรอบ ๆ และสิ่งที่เห็นทำให้เขาเกิดความสงสัย ลมที่พัดแรงนั้นไม่ได้ธรรมดา มันไม่ใช่เพียงแค่พายุธรรมชาติ แต่ลมเหล่านั้นเป็นสีแดง มันมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงคำรามของวิญญาณที่โกรธเกรี้ยว
“นั่นคืออะไร?”
หัวหน้าเผ่าผาขามพึมพำกับตัวเอง พลางมองไปยังทหารของเขาที่แตกพ่ายล้มลงทีละคน เขาตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ กองทัพของเขาไม่ได้พ่ายแพ้เพราะการต่อสู้เพียงอย่างเดียว
แต่เป็นเพราะพลังลึกลับที่แผ่กระจายออกมาจากที่แห่งนี้
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขา เป็นไปได้ไหมว่าพลังนั้นมาจากภาพฝ่ามือสีแดงที่อยู่ในถ้ำ? เขาจำได้ว่ามีนักรบของเขาหลายคนเคยเล่าว่า ภาพเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถควบคุมพลังแห่งธรรมชาติได้ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังพลไปอย่างรวดเร็วและไม่อาจสู้กลับได้
“ภาพฝ่ามือสีแดงบนผนังถ้ำ… มันคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีกองทัพที่มองไม่เห็น”
หัวหน้าเผ่าผาขามกล่าวกับตนเอง ขณะที่เขามองเห็นทหารของเขาที่เหลือรอดกำลังถอนตัวกลับมาอย่างสับสน
เขาตัดสินใจถอนทัพ เพราะรู้ว่าหากยังฝืนต่อสู้ต่อไป อาจจะทำให้สูญเสียกำลังพลไปมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ความโกรธเคืองในใจเขายังคงไม่ได้จางหายไป เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น การกลับมาพร้อมกลยุทธ์ที่แยบยบมากขึ้นคือทางออกเดียวที่จะเอาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาไม่อาจควบคุมได้ในวันนี้
หัวหน้าเผ่าผาขามสาบานในใจ เขาเพ่งมองไปยังกลุ่มทหารที่เหลือรอดของเขาอย่างเวทนา ก่อนจะหันหลังกลับ โดยทิ้งคำขู่และความแค้นไว้เบื้องหลัง
*****