Episode 2 หุ่นพยนต์ 1

1537 Words
อากาศในเมืองอัณยาช่วงเดือนตุลาคมค่อนข้างหนาวเย็นเพราะรอบๆเมืองเต็มไปด้วยธรรมชาติที่รับน้ำฝนซึ่งตกลงมาบ่อยครั้งจนชุ่มชื้น หากมองไปรอบๆจะเห็นแนวเขาสูงชันซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่มโอบล้อมเมืองไว้ ท้องฟ้าสีครามในช่วงเช้าวันนี้ดูแจ่มใสมองเห็นแสงอาทิตย์ส่องสว่างผ่านเมฆบนท้องฟ้า อาจเป็นเพราะฝนตกหนักเมื่อคืนจึงทำให้มองเห็นหมอกจางๆที่ยังอ้อยอิ่งอยู่ทั่วเมือง ฉันอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์คลุมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีฟ้าอ่อนเพื่อให้คล่องตัวมากที่สุด อัยเดินหาวออกมายืนข้างๆฉันที่หน้าบ้านพัก เธออยู่ในชุดเสื้อไหมพรมแขนยาวกับกางเกงรัดรูปสี่ส่วน เรากำลังรอรถของเชนที่บอกว่าจะมารับในอีกห้านาที ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ก็เรียกความสนใจจากเราให้หันไปมองยังต้นเสียง รถห้าประตูสีเงินวิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าพวกเรา ฉันกับอัยจึงเปิดประตูเบาะหลังคนขับเพื่อขึ้นรถก่อนจะทักทายเชนที่เป็นคนขับ แดนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆคนขับและน๊อตที่นั่งอยู่เบาะหลังพวกเราอีกที “มีคนบอกว่าอยากลองไปที่สุสานประจำเมือง คนอื่นๆเอายังไงกัน” เชนกล่าวขึ้นทำให้อัยหันขวับมาทางฉัน “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร เราจะเริ่มต้นวันกันด้วยการไปสุสานหรือ” “ก็พรุ่งนี้จะมีพิธีส่งตัวผู้วายชนม์แล้ว เราน่าจะไปดูสถานที่จริงก่อนเริ่มพิธีสิจริงมั้ย” “อันที่จริงถัดจากสุสานมีสะพานแขวนกลางน้ำตกอยู่ พอไปดูสุสานเสร็จก็ขับรถไปเที่ยวต่อที่นั่นได้นะ” แดนเสนอทางเลือกทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณเขาจากใจจริง อัยเริ่มจะคล้อยตามก่อนหันไปมองน๊อตซึ่งนั่งกอดอกกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เบาะหลัง “กำลังจะขอความเห็น แต่ดูท่าทางนายจะเหนื่อยจัดเลยนะ” น๊อตโบกมือหยอยๆ “ฉันอยู่ดูแลพ่อจนดึกเมื่อคืน พวกเธออยากไปไหนก็ไปเหอะ ถึงแล้วปลุกด้วย” เชนหัวเราะเมื่อรู้สึกว่าไม่ถูกคัดค้านอีกต่อไป เขาให้แดนหยิบแผนที่จากที่เก็บของหน้ารถส่งให้ฉัน “นี่เป็นแผนที่สุสานที่กำลังจะไป ลองดูคร่าวๆสิ” เชนขับรถมาบนทางถนนที่ทอดยาวขึ้นไปตามความชันของภูเขา ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่สองข้างทางช่วยบดบังแสงแดดซึ่งส่องลอดผ่านช่องใบไม้ไหวจนมองเห็นเป็นแสงสีทองระยิบระยับ ยิ่งเข้าช่วงสายหมอกค่อยๆเลือนลางหายไปไม่นานนักเชนก็ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าประตูรั้วเหล็กสีดำซึ่งล้อมรอบเขตสุสานไว้ จากไร่องุ่นขับมาจนถึงสุสานใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง เชนดับเครื่องในขณะที่ทุกคนลงจากรถ ฉันสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด กลิ่นชื้นๆของไอน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ตามธรรมชาติให้ความรู้สึกสดชื่นแตกต่างจากในเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง เชนเดินนำทุกคนผ่านแนวรั้วจนมาถึงหน้าประตูทางเข้าสุสาน อยู่ๆอัยก็รู้สึกถึงสายลมวูบใหญ่พัดผ่านใบหน้าทำให้ขนลุกขึ้นมา ที่จริงแล้วเธอเป็นคนที่ประสาทสัมผัสไวกว่าคนอื่นในเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอแค่ขี้กลัวหรือมีสัมผัสพิเศษจริงๆ ฉันเดินไปตบบ่าเธอเบาๆเพื่อเรียกความสนใจ “ลองเข้าไปดูซักครั้ง ใช้เวลาไม่นานหรอก” ดูเหมือนเธอจะเริ่มผ่อนคลายลงแต่มองหน้าฉันอย่างไม่อยากเชื่อคำพูด “หวังว่าจะไม่นานจริงๆนะ” เมื่อผ่านประตูทางเข้าจะมองเห็นโรงอาหารอยู่ฝั่งซ้ายซึ่งเป็นโรงอาหารที่สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของผู้ที่มาเช่าที่ฝังญาติและคนในครอบครัว ณ สุสานแห่งนี้ ผู้ดูแลสุสานจะรับผิดชอบทำความสะอาดพื้นที่และทำอาหาร ฉันอ่านเจอในหนังสือว่าพิธีกรรมส่งตัวผู้วายชนม์จะทำได้เฉพาะกับผู้ที่ฝังญาติของตนไว้ในสุสานเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่มีเงินเช่าพื้นที่สุสานก็ต้องฝังไว้ในป่าช้าที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาซึ่งมักจะเป็นการฝังถาวรและไม่มีการขุดขึ้นมาทำพิธีกรรมใดๆยกเว้นเมื่อถึงวันทำพิธีล้างป่าช้า ฉันเคยได้ยินจากเชนว่าไม่ค่อยมีใครเข้าไปในเขตป่าช้าเพราะมันอยู่ใกล้กับน้ำตก ฉันเริ่มเอะใจว่าน้ำตกนั่นใช่ที่เดียวกับสะพานแขวนที่เราจะไปกันหรือเปล่านะ เมื่อพ้นจากโรงอาหารจะเข้าสู่ทางเดินสี่สายอยู่ห่างออกจากกันราวสิบกิโลเมตร สิบกิโลเมตรนั้นคือพื้นที่สำหรับหลุมฝังศพที่สร้างป้ายหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อสลักชื่อและวันตายของผู้ตายเรียงกันเป็นแนวยาว ถ้าดูจากแผนที่ที่เชนส่งให้จะเห็นว่าทางเดินสี่สายนี้ขนานกันมาจนบรรจบที่เส้นทางยาวซึ่งคั่นระหว่างโซนหนึ่งและโซนสอง จากนั้นก็จะทอดขนานกันไปบรรจบที่เส้นทางยาวซึ่งคั่นระหว่างโซนสองและโซนสามอีกที โดยสุสานแห่งนี้มีทั้งหมดสี่โซนและมีกฎว่าเมื่อศพใดทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์แล้วจะต้องนำศพมาเผาในวันรุ่งขึ้น ญาติสามารถนำเถ้าอัฐิที่เหลืออยู่ไปไว้ที่บ้านหรือโปรยกลับสู่ธรรมชาติก็ได้ เพราะเชื่อกันว่าดวงวิญญาณของผู้ตายเปลี่ยนไปอยู่ในหุ่นพยนต์แล้ว ฉันรู้สึกได้ถึงมือที่สั่นเทาของอัยซึ่งคว้าแขนฉันไว้ เพราะวันนี้เป็นวันก่อนทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์ดังนั้นเราจึงได้เห็นหุ่นขี้ผึ้งหรือหุ่นพยนต์ซึ่งปั้นเลียนแบบตามรูปร่างจริงของผู้ตายยืนอยู่หน้าป้ายศพบางป้ายโดยจะมองเห็นหลุมศพที่ถูกขุดทิ้งไว้ด้วย ฉันเห็นแสงสะท้อนจากลูกแก้วซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งนิ้วห้อยอยู่ที่คอของหุ่นพยนต์ทุกตัวที่จะใช้ทำพิธีก็เลยคิดจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆแต่ถูกอัยฉุดเอาไว้เสียก่อน “อย่าเข้าไปเลย” เชนร้องห้ามด้วยอีกคน “ข้างในหลุมศพที่ถูกขุดเอาไว้คือศพจริง สภาพไม่น่าดูเท่าไรหรอก” ฉันหยุดฝีเท้ามองดูหุ่นพยนต์ที่มีเฉพาะหน้าป้ายหลุมศพบางป้ายเท่านั้น “ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์หรือ” “พิธีกรรมส่งตัวผู้วายชนม์ทำได้กับศพที่ฝังมาเกินสองรุ่นแล้ว อย่างคุณทวดของฉันก็ฝังมาตั้งแต่สมัยคุณปู่กับคุณพ่อ พอมาถึงรุ่นฉันถึงต้องทำพิธีส่งตัวน่ะ” “พวกเราไปต่อที่อื่นกันเถอะ ฉันว่าฉันไม่ไหวแล้วล่ะ” อัยแทรกขึ้นทำให้แดนเดินเข้ามาจับมือเธอไว้ “ฉันพาอัยออกไปรอที่รถก่อนแล้วกันนะ” ตอนที่เห็นแดนพาอัยเดินจากไป ฉันสังเกตเห็นน๊อตยืนมองหุ่นพยนต์ด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างซึ่งเชนเองก็น่าจะสังเกตเหมือนกัน เขาเดินเข้าไปแตะบ่าน๊อตแต่น๊อตผงะถอยหลังเหมือนตื่นจากภวังค์ “นายทำอะไร” “ฉันเห็นนายเหม่อเลยจะเรียกเฉยๆ” เชนเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เป็นอะไร ทำอย่างกับไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนที่อาการพ่อนายยังไม่ทรุดหนักเขาเป็นคนทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์ทุกปีด้วยซ้ำ” “พ่อของน๊อตเป็นหมอผีหรือ” ฉันถามขึ้นบ้างเพราะไม่เคยได้ยินน๊อตพูดถึงมาก่อน “ที่นี่เรียกว่าหมอธรรม” เชนกล่าวตอบแทน “พ่อของน๊อตทำพิธีจนถึงเมื่อสองปีก่อน อยู่ๆอาการก็ทรุดหนักล้มป่วยลงน่ะ” “อ้าว แล้วหลังจากนั้นใครทำพิธีแทนล่ะ” “อาของฉัน” น๊อตที่เริ่มจะตั้งหลักได้จึงตอบคำถาม “ตระกูลฉันสืบทอดวิชาของหมอธรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีแต่ฉันที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้” “แถมเรียนไปทางวิศวกรรมอีกต่างหาก ไม่ได้สืบทอดวิชาจากพ่อมาเลยซักนิด” “ความเชื่อเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ฉันเลือกเรียนวิชาที่ใช้เลี้ยงชีพได้ตลอดไปไม่ดีกว่าหรือไง” “จริงจังไปได้ ยังไงเมืองนี้ก็คงเชื่อเรื่องนี้ไปตลอดนั่นแหละ” “เอาเหอะ นายคงไม่เข้าใจหรอก ฉันไปรอที่รถดีกว่า” น๊อตกล่าวก่อนหันหลังเดินตรงไปทางประตูสุสานโดยมีเชนเดินตามหยอกล้อไปด้วย มีบางอย่างสะกิดใจทำให้ฉันหันกลับไปมองหุ่นพยนต์อีกครั้งซึ่งมันทำให้ฉันหนาวยะเยือก หัวของหุ่นพยนต์หันหน้ามาทางฉันราวกับจะตอบรับความอยากรู้อยากเห็น ฉันก้าวถอยหลังช้าๆไม่แน่ใจว่าถ้าหันหลังวิ่งแล้วมันจะวิ่งตามมาด้วยหรือเปล่า แต่ดูเหมือนมันจะขยับเขยื้อนส่วนอื่นนอกจากหัวไม่ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD