"มาแล้วค่ะ"
ใช้เวลาทำข้าวต้มราว ๆ ยี่สิบนาที ชามข้าวต้มอุ่น ๆ จากฝีมือฉันก็ถูกยกขึ้นมาวางบนห้องนอนแม่เลี้ยงคนสวย
"หอมจังเลยลูก" แม่นินยิ้มให้ฉัน
แม้แววตาท่านจะยังไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน แต่ฉันก็ยิ้มรับรอยยิ้มนั้นที่ท่านพยายามทำให้ฉันเลิกคิดมากและกังวล
"เดี๋ยวหนูอัยญ์ป้อนนะคะ" ไม่รอช้า ฉันค่อย ๆ ตักข้าวต้มปลาแล้วเป่าสองสามทีให้หายร้อนเพื่อป้อนแม่นิน
คำแรกถูกกลืนลงคอพร้อมรอยยิ้มที่สื่อว่าอร่อย
คำที่สองแม่นินเริ่มจะคล่องคอ จนมีคำที่สามสี่ตามมา
"พอแล้วลูก" แม่นินส่ายหน้าเมื่อฉันจะป้อนท่านอีกคำ
"น้ำค่ะ" ฉันไม่ขัดใจ หยิบแก้วน้ำส้มคั้นสด ๆ มาให้ท่านจิบ
"ทำไมแม่นินถึงได้ทานยาเยอะแยะขนาดนี้คะ" ตอนแรกกะว่าให้แม่นินดีขึ้นก่อนค่อยถาม แต่เพราะความอยากรู้เลยอดที่จะถามมันตอนนี้เลยไม่ไหว
"คือแม่..." แม่นินอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เสมองไปทางอื่นเพราะกลัวฉันจะคาดเดาเอาจากดวงตาของท่านสินะ
หมับ...มือบางกอบกุมมือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยเบา ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"แม่นินมีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกหนูอัยญ์มาเถอะค่ะ ตอนนี้เราเหลือกันแค่สองคนแล้วนะคะ"
แม่เลี้ยงสาวหันมาจ้องประสานสายตาฉันช้า ๆ แววตาของท่านสั่นไหววูบหนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายดึงมือตัวเองมากุมมือฉันแทน
"แม่ขอโทษนะน้องอัยญ์" จู่ ๆ แม่นินก็เสียงสั่น น้ำตาเริ่มจะรินไหล แถมร่างกายท่านยังสะอึก ฮึก ๆ ตามแรงสะอื้น
"มีอะไรคะ ทำไมแม่นินต้องขอโทษหนูอัยญ์ด้วย" ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ สายตาก็พยายามค้นหาความจริงในแววตาคู่สวยนั้นของท่าน
"แม่มันโง่ แม่มันไม่ได้เรื่อง แม่คงทำให้คุณศรผิดหวังอยู่อีกโลกแล้วตอนนี้ ฮื่อ ๆ "
แม่เลี้ยงฉันเอาแต่โทษตัวเองแล้วยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าร่ำไห้เป็นวักเป็นเวน
"แม่นิน แม่นินมีอะไรไม่สบายใจบอกหนูอัยญ์เถอะค่ะ ระบายมันออกมา อย่าเก็บไว้คนเดียวแบบนี้นะคะ" น้ำตาฉันเริ่มจะรื้นตามคนเป็นแม่เลี้ยงแล้วนาทีนี้
"นินขอโทษ นินขอโทษนะคะคุณศร ฮือ ๆ "
แม่นินไม่ยอมบอกอะไรฉันอีกเลย ท่านเอาแต่ยกมือปิดหน้าแล้วโทษตัวเองไปร้องไห้ไป
ครืด ครืด เสียงมือถือสั่นขึ้น ฉันเห็นหน้าจอขึ้นชื่อ 'คุณองอาจ' จากมือถือแม่เลี้ยง ดูสภาพแม่นินตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะรับสายใคร
ดูสิ ขนาดมือถือสั่นท่านยังไม่รับรู้เลย ฉันจึงตัดสินใจหยิบมือถือแม่เลี้ยงขึ้นมาแล้วเดินห่างออกมารับอีกมุมหนึ่งของห้อง
ติ๊ด!
[คุณพจนินจะเข้าบริษัทตอนไหนครับ ตอนนี้เจ้าหนี้เรารอคุณอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น รีบมาทำเรื่องเล็ก ๆ ให้จบ ๆ ไปเถอะครับ]
เสียงจากปลายสายดังขึ้น คำพูดมีหางเสียง แต่ย้อนแย้งกับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาที่บ่งบอกว่ากำลังกดดันเจ้าของมือถือเครื่องนี้อยู่
"นี่หนูอัยญ์เองนะคะ" ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างเรียบ ๆ
[อ้ะ ค...คุณหนูอัยญาดา] คนปลายสายเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าฉันเป็นคนรับสายของเขา
"เมื่อกี้คุณองอาจบอกว่า 'เจ้าหนี้' เรารออยู่ หมายความว่ายังไงคะ?"
[...] สิ้นคำถามฉัน ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ฉันเหลือบมองไปทางแม่นินที่ตอนแรกเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนตอนนี้เผลอหลับไปแล้ว
พอมองเห็นสาเหตุที่ทำให้ท่านหลับง่ายขนาดนี้เพราะกระปุกยานอนหลับถูกเปิดไว้อยู่
[คุณพจนินอยู่ไหมครับ เรื่องนี้ต้องให้คุณพจนินเข้ามาจัดการด้วยตัวท่านเอง]
"แม่นินไม่สบาย เดี๋ยวหนูอัยญ์เข้าไปดูที่บริษัทเองนะคะ" ฉันตอบคุณองอาจที่เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทคุณพ่อ
[เอ่อ คือ]
"หนูอัยญ์ถือหุ้นสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ คงพอที่จะไปคุยกับคนที่รอแม่นินอยู่ได้ ใช่ไหมคะ?" ปกติไม่ใช่คนวางอำนาจบาทใหญ่กับใคร แต่ถ้าฉันไม่ใช้ไม้นี้คุณองอาจคงจะกีดกันฉันแน่ ๆ
[ค...ครับ ได้ครับ ผมจะแจ้งทางนี้ให้]
"ค่ะ อีกครึ่งชั่วโมง หนูอัยญ์น่าจะถึง" ไม่รอช้าฉันรีบกดตัดสายนั้นทันที
นี่หรือเปล่าคะแม่นิน สาเหตุที่ทำให้แม่นินเอาแต่โทษตัวเองอยู่แบบนี้ เพราะ 'เจ้าหนี้' ที่คุณองอาจพูดออกมาเมื่อกี้ใช่ไหมคะ
มือน้อย ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้แม่เลี้ยงคนสวย ก่อนจะเก็บชามข้าวต้มเดินลงมาไว้ในครัว พร้อมกำชับพี่กรองให้ช่วยขึ้นไปอยู่เฝ้าแม่นิน หากท่านตื่นให้บอกแค่ว่าฉันไปบ้านตรีญ่าเพื่อทำโปรเจกต์กลุ่มแค่นั้น
Ai-Inter corporation
"สวัสดีค่ะคุณอัยญาดา"
ทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาที่บริษัท พนักงานต้อนรับที่เคยเห็นฉันมาที่นี่บ่อยครั้งกับคุณพ่อรีบวิ่งมาต้อนรับพร้อมกล่าวคำทักทายอย่างนอบน้อม
"คุณองอาจอยู่ที่ไหนคะ?" ฉันรีบถามหาบุคคลที่ต้องการมาพบทันที
"คุณองอาจอยู่ห้องประชุมใหญ่ค่ะ" พนักงานคนเดิมตอบพร้อมผายมือเชิญฉันให้ไปขึ้นลิฟต์สำหรับผู้บริหาร
ฉันยืนมองตัวเลขสีแดงที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความคิดหนัก บริษัทอัยอินเตอร์เป็นบริษัทหลักที่ใช้ควบคุมดูแลโรงแรมในเครืออัยอินเตอร์เกือบร้อยแห่งในประเทศ มีความสูงสิบห้าชั้น พนักงานแค่เฉพาะในบริษัทนี้ราว ๆ สองร้อยคน (ไม่รวมพนักงานที่ส่งออกไปประจำตามโรงแรมอื่น ๆ อีกหลายร้อยคนเช่นกัน)
ติ๊ง! เสียงลิฟต์ดังขึ้นเมื่อถึงชั้นสิบ ชั้นสำหรับเป็นห้องประชุมใหญ่เวลามีงานใหญ่ ๆ ป๊าจะใช้ชั้นนี้รองรับคนที่เข้าร่วมประชุมเพราะห้องกว้างและจุคนได้เยอะกว่าชั้นอื่น ๆ
ฟู่...! ฉันยืนถอนหายใจพร้อมกับเรียกสติตัวเองอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่ที่ไม่รู้ว่าภายในห้องนั้นมีคนอยู่กันกี่คนทำไมคุณองอาจถึงได้เลือกใช้ชั้นนี้เป็นที่ประชุมครั้งนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ตามมารยาทการเข้าห้อง แม้จะเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทฉันก็ยึดหลักการมีมารยาท เคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป
กึก...ขาที่ควรจะก้าวย่างอย่างมีมาดกลับหยุดนิ่งเมื่อสายตาเฉี่ยวคมมองเห็นสภาพภายในห้องประชุมแห่งนี้
"สวัสดีครับคุณอัยญาดา" เสียงคุณองอาจดึงสติฉันให้กลับเข้าร่าง
"คนพวกนี้คือใครเหรอคะ?" ฉันกระซิบถามหัวหน้าฝ่ายการตลาดเสียงแผ่ว
เอาตรง ๆ ฉันมีเสียงให้เปล่งถามคุณองอาจตอนนี้ก็บุญถมเถแล้ว
ดูสายตาของชายชุดดำราวสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันสิ แต่ละคนหน้าโหด ๆ ดุ ๆ ทั้งนั้น แถมบรรยากาศรอบ ๆ ยังดูอึมครึม เยือกเย็นแปลก ๆ อีก
"อ้อ เชิญคุณอัยญาดานั่งตรงนู้นดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะได้แนะนำอีกท่านให้รู้จัก" ร่างสูงค้อมหัวให้ฉันเล็กน้อย ก่อนจะผายมือเชิญฉันไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเหล่าชายชุดดำที่ท่าท่างน่ากลัวเหล่านั้น