"พ...พ่อ พ่อทำไมคะ" ฉันถามเสียงสั่นเช่นกัน
"กรองเก็บของคุณผู้หญิงเสร็จหรือยัง อ้าว! คุณอัยญ์"
ลุงภพคนขับรถของบ้านเดินขึ้นมาเรียกพี่กรอง พอท่านเห็นฉันก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะมีสีหน้าที่สลดคล้าย ๆ พี่กรองไปอีกคน
"พี่กรองมาเก็บของให้แม่นินทำไมคะ" ฉันถามตามสิ่งที่ได้ยินลุงภพพูด
"คุณผู้หญิงให้กรองมาเอาโทรศัพท์กับกระเป๋าไปให้ค่ะ"
ฉันพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะอาสาเดินเข้าไปหยิบของที่ว่าติดมือออกมา
"ช่วยพาอัยญ์ไปหาแม่นินด้วยนะคะ" ฉันยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนจะเดินนำลงไปชั้นล่าง เดินไปรอที่รถของบ้านจิตตานิกรด้วยหัวใจสั่นไหวแปลก ๆ
"ทำไมลุงภพเลี้ยวมาทางนี้คะ" เมื่อรถคันที่ฉันนั่งมาเลี้ยวเข้าซอยวัดชื่อดังแห่งหนึ่งฉันรีบเอ่ยปากถามคนขับเก่าแก่ทันที
"คุณอัยญ์ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ คำตอบทุกอย่างรอคุณอัยญ์อยู่ข้างหน้านี้ค่ะ" เป็นพี่กรองที่ตอบคำถามฉันเสียงสั่น
ฉันได้แต่นั่งกุมมือตัวเองนิ่ง ข้างในอกมันสั่นวูบ รู้สึกจุกแน่นไปหมด ภาวนาในใจขอให้ไม่ใช่เรื่องไม่ดีทีเถอะ
เอี้ยด... รถที่ฉันนั่งมาจอดนิ่งเมื่อเลี้ยวเข้ามาในเขตวัดเรียบร้อยแล้ว
ฉันนั่งมือผู้คนที่มีประปรายต่างพากันสวมชุดสีดำเหมือนอยู่ในงานไว้อาลัยของใครสักคน "ถึงแล้วค่ะ คุณอัยญ์เดินใกล้ ๆ พี่กรองไว้นะคะ"
ไม่ต้องรอให้พี่กรองบอกแบบนั้นฉันก็ทำ รู้สึกตอนนี้แข้งขาไม่มีเรี่ยวแรงกะทันหัน ลมหายใจฉันคล้ายถี่บ้าง เร็วบ้าง สลับจนรู้สึกสับสนไปหมด
"น...น้องอัยญ์" เสียงป้าอุ่นทิพย์ หรือที่ฉันเรียกสั้น ๆ ว่าป้าอุ่นเดินปรี่เข้ามาหาฉันทันทีที่เห็นฉันปรากฏตัวขึ้น
"งานใครเหรอคะป้าอุ่น" ฉันยกมือไหว้ท่าน ตาก็พยายามชะโงกหน้าดูว่านี่มันงานของใครกัน ทำไมมองไปมองมาถึงได้มีแต่คนที่ฉันรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาเต็มไปหมด
"คือ..." ป้าอุ่นไม่ได้ตอบคำถามฉันทันที ท่านหันไปมองหน้าพี่กรองคล้ายกำลังคุยกันทางสายตา ส่วนพี่กรองส่ายหน้าไปมาก่อนจะลูบแผ่นมือฉันที่กุมมือเธอไว้แน่น
"น้องอัยญ์"
"แม่นิน!" ฉันรีบปล่อยมือพี่กรอง วิ่งเข้าไปจับมือแม่นินที่เดินออกมาจากศาลาด้วยความดีใจที่เจอท่านอยู่ที่นี่
"น้องอัยญ์มาได้ยังไงลูก" แม่นินถามฉันเสียงสั่น ก่อนที่ท่านจะตอบคำถามนั้นเองเมื่อมองไปทางด้านหลังฉันแล้วเห็นคนที่พามา
"มากับกรองแล้วก็ลุงภพสินะ" ฉันพยักหน้าให้แม่นินก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ใจแทบขาด
"งานใครเหรอคะแม่นิน ทำไมแม่นินก็ใส่ชุดดำ ป้าอุ่นก็มา แถมอัยญ์ยังเห็นแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาของคุณพ่อเต็มไปหมด"
"..." คำถามของฉันได้รับคำตอบกลับมาคือความเงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่น้ำใส ๆ ไหลคลอลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของบุคคลที่ฉันตั้งคำถามนี้
"แม่นินร้องไห้ทำไมคะ?" ทำไมแค่ฉันถามแค่นี้แม่นินต้องร้องไห้เหมือนเจ็บปวดและทรมานแบบนี้
"พาหนูอัยญ์เข้าไปข้างในเถอะ" เสียงป้าอุ่นเอ่ยขึ้น ก่อนที่ท่านจะเดินมาพยุงแม่นินที่ยังโอบไหล่ฉันอยู่ กลายเป็นว่า แม่นินโอบไหล่ฉันอย่างสั่น ๆ และยังมีน้ำตาไหลมาอยู่ ส่วนป้าอุ่นก็กอดพยุงแม่นินอีกที
"สวัสดีครับคุณอัยญดา" พนักงานคนหนึ่งกล่าวทักทายฉันอย่างนอบน้อม ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเขาจะเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัทคุณพ่อ
"สวัสดีค่ะ" ฉันรับไหว้และทักทายกลับก่อนจะรีบเดินเข้าไปข้างในศาลาด้วยความอย่างรู้ในคำตอบที่ยังไม่มีใครบอกสักคน
"เฮียดีล!" ฉันกำลังจะได้คำตอบของคำถามตัวเองก็ถูกผู้ชายตัวโตร่างกายกำยำ ใบหน้าหล่อคมเข้ม ผิวขาว สวมสูทสีดำยืนจังก้ากันท่าฉันอยู่ด้านหน้า
"หลีกทางเถอะตาดีล ยังไงก็ปิดน้องไม่อยู่แล้ว" เสียงแม่นินเอ่ยขึ้นแทบจะแผ่วเบาเพราะท่านร้องไห้หนักมาก
ฉันเดินตรงไปข้างหน้าก่อนจะสบตากับเฮียดีลที่เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ ๆ ฉันคนหนึ่ง ก่อนที่เฮียเขาจะค่อย ๆ หลีกทางให้ฉันอย่างช้า ๆ
"อ้ะ!" มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดปาก ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของฉันช้า ๆ ก่อนที่ฉันจะได้สติ ร่างทั้งร่างก็ล่วงหล่นลงพื้นราวกับไร้เรี่ยวแรง
"ม...ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมคะ น..นั่น นั่นไม่ใช่คุณพ่ออัยญ์ใช่ไหมคะ?"
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถามใคร รู้แค่ว่าตอนนี้สายตาฉันละไปจากกรอบรูปขาวดำที่วางอยู่หน้าโลงศพโลงหนึ่งไม่ได้เลย
ชายร่างสูงโปร่งสวมสูทสีดำดูน่าเกรงขามยืนยิ้มกว้างให้ช่างกล้องสมัครเล่นที่อายุเพียงสิบสองขวบกดชัตเตอร์ให้
ใช่ รูปนั้นคือรูปที่ฉันเป็นคนถ่ายเอง และคนที่อยู่ในรูปถ่ายบอกว่าชอบภาพนี้เป็นที่สุด ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ให้เอารูปนี้ตั้งแทนตัวท่านที่ล่วงลับไปแล้ว
"กรี้ดดดด!!"
"หนูอัยญ์!!"
"อัยญดา!"
ไม่จริง สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้คือความฝัน
ใช่แล้วล่ะ เมื่อคืนฉันฉลองวันเกิดและเมามาก ทำให้ตอนนี้กำลังฝันอยู่ ฝันร้ายพวกนี้เดี๋ยวพอฉันสร่างเมาแล้วตื่นขึ้นก็หาย
ถูกแล้วอัยญดา เธอเข้าใจถูกแล้ว นี่คือความฝัน
ความฝันที่มัน... เป็นเรื่องจริง
สามวันต่อมา
"บอกลาคุณพ่อครั้งสุดท้ายกันเถอะลูก" เสียงเศร้าแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งเอ่ยบอกฉัน
ตั้งแต่วันนั้น งานศพที่ฉันอยากรู้ว่าเป็นของใครสุดท้ายความจริงที่ได้เจอกลับเจ็บปวดและทรมานเหมือนตายทั้งเป็น เมื่องานนั้นคืองานของพ่อตัวเอง ไม่เคยคิดเลยว่างานวันเกิดฉันจะกลายเป็นวันเดียวกับวันที่พ่อทิ้งฉันไปตลอดกาล
และไม่ใช่แค่พ่อคนเดียว ลุงจรัญ ทนายที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่คุณพ่อและเปรียบเสมือนลุงแท้ ๆ ของฉัน ก็ทิ้งลูกชายเขาอย่างเฮียดีแลนด์ไปด้วยเช่นกัน
แม่นินเล่าว่าตอนที่ทั้งสองคนกลับจากดูงานเป็นช่วงตีสาม ลุงจรัญเป็นคนขับรถให้พ่อ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อรถของทั้งสองคนมาเจอกับรถของพวกค้ายาที่ถูกตำรวจไล่ล่าขับพุ่งชนรถพวกท่านจนเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ
ข่าวการเสียชีวิตของพ่อฉันกลายเป็นที่สนุกมือของนักข่าวไร้จรรยาบรรณบางหน่วยงานที่เน้น 'ขายข่าว' ไม่ได้ขายความจริงเอาข่าวพ่อฉันไปลง
เช้าวันที่พ่อเสียชีวิตมีหัวข่าวตัวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ พาดหัวข่าวได้สะดุดตาคนที่อยากเสพข่าวได้เป็นอย่างดี
'สิ้นแล้วเสาหลักของบริษัทยักษ์ใหญ่เบื้องหลังคือพ่อค้ายาเสพติด'
พ่อค้ายาเสพติด? เหอะ!!
ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อฉันทำมาหากินอย่างสุจริตมาโดยตลอด เรื่องยานรกพวกนั้นท่านไม่แม้จะจับต้อง แล้วจะไปค้ายานรกพวกนั้นได้ยังไง
"ได้เวลาแล้วลูก" เสียงแม่นินดึงสติฉันกลับมาอีกครั้ง ฉันมองเถ้ากระดูกที่ถูกห่อด้วยผ้าขาวบางวางบนพานดอกไม้ในมือด้วยหัวใจเจ็บปวดเจียนจะขาดใจตาย
"ไหนป๊าบอกจะกลับมาฉลองวันเกิดกับหนูอัยญ์ไงคะ ฮึก" ฉันยังจำสัญญาที่พ่อเขียนไว้ในการ์ดอวยพรนั้นได้เลย แล้วทำไมพ่อถึงได้กลับมาในสภาพแบบนี้ ทำไมแม้แต่คำสั่งเสียพ่อยังให้ฉันไม่ได้ ฮึก!
หมับ..
แรงสวมกอดจากแม่เลี้ยงที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดทำให้ฉันได้สติอีกหน
"หนูอัยญ์จะเป็นเด็กดี หนูอัยญ์จะแก้ข่าวเสีย ๆ พวกนั้นของคุณพ่อให้ได้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ฉันยิ้ม
แม้จะเป็นรอยยิ้มที่สิ้นหวัง รอยยิ้มที่แสนเจ็บปวด แต่ฉันก็จะยิ้ม
'พ่อชอบรอยยิ้มของหนูอัยญ์ที่สุดเลยลูก'
เพราะประโยคนี้ของพ่อไง หนูอัยญ์จะยิ้มให้เยอะ ๆ พ่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
"คุณศรคะ นินสัญญาจะดูแลลูกสาวของคุณศรให้ดีที่สุด และจะนำเกียรติยศชื่อเสียงของคุณศรกลับมาให้ได้"
เราสองแม่ลูกกอดกันกลม มือฉันค่อย ๆ ยื่นออกไปกลางแม่น้ำที่เงียบสงบ ก่อนจะโปรยเถ้ากระดูกของคุณพ่อให้พระแม่คงคาช่วยรับไปดูแล ฝากลมช่วยอุ้มชูมอบไออุ่นและเป็นที่พึ่งให้คุณพ่อในอีกภพภูมิที่หลายคนเชื่อว่ามันมีอยู่จริง
"พ่อครับ ผมมาส่งพ่อครั้งสุดท้ายแล้วนะ พ่อคงไม่เหงาเพราะมีลุงศรอยู่เป็นเพื่อน ผมอาจจะสานต่ออาชีพทนายไม่ได้ แต่ผมสัญญาจะรักษาเกียรติการเป็นทนายตงฉินของพ่อให้กลับมาขาวสะอาดอีกครั้ง"
เฮียดีแลนด์ที่เปรียบเสมือนพี่ชายฉันเอ่ยลาพ่อของตัวเอง
วันนี้เราสองครอบครัวแม้จะไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือดเลยสักหยด แต่ก็ผูกพันรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แถมสุดท้าย ยังต้องมายืนส่งคนที่เรารักอยู่ในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกันแบบนี้อีก "เฮียดีล หนูอัยญ์เสียใจและขอโทษเรื่องคุณอาจรัญด้วยนะคะ"
เมื่อพวกเราลงจากเรือที่ใช้ไปส่งคนที่เรารักเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เอ่ยแต่ประโยคเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะรู้สึกผิดต่อเฮียดีลและญาติของเขา
"จะขอโทษเฮียทำไม เราไม่ผิด คุณลุงเองก็ไม่ผิด เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ถ้าจะโทษ ก็คงเป็นเคราะห์กรรมของพวกท่านเองมากกว่า"
เฮียดีแลนด์เป็นคนที่จิตใจดี เป็นผู้ใหญ่อีกคนที่ฉันพึ่งพิงได้
"ค่ะ" ฉันไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีกแล้ว
การสูญเสียครั้งนี้มันกะทันหันจนฉันตั้งรับอะไรไม่ทัน
"เรากลับกันเลยไหมครับ?" ลุงภพคนขับรถเอ่ยถามพวกเรา
"หนูอัยญ์อยากไปไหนอีกไหมลูก?" แม่นินถามขึ้น ฉันสั่นหัวไปมา
เวลาแบบนี้ สภาพจิตใจบอบช้ำอย่างนี้ ฉันไม่อยากจะออกไปไหนทั้งนั้น
"งั้นป้าฝากหนูอัยญ์ด้วยนะตาดีล"
"แม่นินจะไปไหนเหรอคะ"
ฉันรีบถามอย่างร้อนใจเมื่อแม่นินส่งฉันให้ไปกับเฮียดีล