EP 3 คนปากแข็ง

1301 Words
ฉันโกยหน้าตั้งมาหลบอยู่หลังรถตู้คันใหญ่ใกล้โค้งประตูทางออก พลางชะโงกหน้าไปมองอีตาบ้านั่นเป็นระยะ และเห็นหมอนั่นเดินงุ่นง่านพล่านไปทั่ว หันมองซ้ายขวาหาตัวฉันใหญ่ ชิ! คิดว่าฉันจะกลัวรึไง? (ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ฉันวิ่งหนีเขามาอะนะ...) แต่...แต่นั่นมันเหตุสุดวิสัย ก็ฉันตกใจหน้าตาเหมือนโดนเท้าควายยันหน้าของคนบ้านั่นนี่นา! ฉันยกมือขึ้นปัดผมหยักศกของตัวเองเบาๆ อย่างรำคาญ โดยไม่ยอมละสายตาจากหมอนั่น อะไรมันสะกิดผมฉันนักหนาน่ะ กิ่งไม้? หยากไย่? ใยแมงมุม? โอ๊ย! ทนไม่ไหวแล้ว พอขมวดคิ้วมองขุ่นไปยังอะไรก็ตามที่กำลังบินว่อนอยู่บน หัวฉันก็เป็นอันต้องอ้าปากค้าง ใช่...มันบินได้ เพราะมันเป็นกลุ่มนกนางนวล และมันกำลังจิกทึ้งผมฉันที่อวลไปด้วยกลิ่นกากหมูยังไงละ! “กรี๊ด!!! อย่านะ!” ฉันลุกพรวดขึ้นวิ่งพล่าน ปัดมือไปมาไล่นกพวกนั้นเป็นการใหญ่ โฮๆ ถึงเป็นนกก็น่าจะแยกออกระหว่างของกินกับคนสวยเซ่ เมื่อกี้ฉันยังชมว่าพวกแกฉลาดอยู่เลยไม่ใช่รึไง? “อยู่ นี่ เอง” น้ำเสียงเย็นเยียบที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาฉันหยุดกึก แอบกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ อย่างหวาดๆ แล้วสูดลมหายใจลึกรวบรวมความกล้า ก่อนหันกลับไปเชิดหน้าใส่อีตานั่นด้วยสีหน้าแบบ ‘กลัวที่ไหน?’ (ทั้งที่จริงกลัวแทบตาย) แหม...เสื้อนักเรียนมีรอยพีเอสจูเนียร์ประทับหราแบบนี้ก็แนวดีนี่นา ไม่เหมือนใคร และไม่มีใคร(อยาก)เหมือน อ๊ะ เสื้อนักเรียนเหรอ? จริงสิ! “วันนี้นายโดดซ้อมบาส ฉันจะบอกพรีมให้ฟ้องโค้ช” ฉันยกโค้ชจอมโหดแห่งชมรมบาสเกตบอล กับยัยพรีมเพื่อนรัก (ตอนนี้รักมันมากๆ อะ ช่วยฉันด้วยยย) มาขู่ฟอดใส่ แต่คนตรงหน้ากลับกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนหักนิ้วข่มขวัญ แล้วค่อยก้าวสามขุมเข้ามาหาฉันที่ยังยืนเชิดหน้าทั้งที่ในใจกำลังร้องเรียกให้ปาป๊ามาช่วย “เธอคิดว่าจะรอดไปบอกเหรอ?” โฮก...น่ากลัวโคตร! “จะ... ใจเย็นนะ” ฉันยิ้มแหย ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินมาใกล้ พร้อมกับก้าวถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ (เพราะห้ามยังไงหมอนี่ก็ไม่หยุดเดิน T^T) ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเอาตัวรอดยังไงดี ทั้งฉันและเขาก็ชะงัก เมื่อเมฆฝนสีดำทะมึนบนผืนฟ้าส่งเสียงคำรามลั่น ก่อนที่ฉันจะค่อยก้าวถอยหลังหนีแบบเนียนๆ โธ่โว้ย! ทั้งกลัวถูกจับโยนทิ้งทะเล ทั้งกลัวเปียกฝน ทั้งกลัวจะกลับบ้านไม่ถูก การเผลอหลับบนรถครั้งนี้ให้บทเรียนฉันแบบมหาศาลเลยให้ตายสิ... ฉันจะไม่กินยาแก้แพ้กับเป๊ปซี่อีกแล้วด้วย มายก๊อด! ฝนหนึ่งหยดตกลงสู่พวงแก้ม และเพียงชั่วอึดใจ หยาดน้ำสีเงินก็พรั่งพรูจากแผ่นฟ้า “เฮ้ย!” หมอนั่นอุทานออกมาได้แค่นั้น ก็รีบฉวยข้อมือฉันกระตุกให้วิ่งตามไปหลบยังโค้งประตูทางเข้า และเพียงไม่นานผู้คนบนสะพานก็วิ่งมาหลบที่เดียวกับฉันบ้าง วิ่งเข้าไปในอาคารสุดปลายสะพานบ้างตามแต่จะอยู่ใกล้ทางไหนกัน คนข้างกายละมือไปขยี้ผมที่ชุ่มน้ำ ก่อนหันมองหน้าฉันแล้วเบือนหน้าหนีไปถอนหายใจแบบเซ็งขั้นเทพ หมดอารมณ์จะเอาเรื่องแล้วใช่ป่ะ? เฮ้อ...รอดไป แต่คิดแล้วยังสยองไม่หาย นี่ถ้าฝนไม่ตกมาซะก่อนนะ ฉันอาจโดนฆ่าหมกป่าชายเลนเป็นอาหารปลาตีน! หรือไม่ก็อาจถูกจับไปขายหอนางโลม! โดนบังคับไปทำงานในโรงงานนรก! หรือว่า... “นี่เธอคิดอะไรน่ากลัวอยู่ใช่มะ -_-” “เปล่านะ” ใช่ ฉันโกหก ว่าแต่หมอนี่เป็นอับดุลหรือไงถึงรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่! ‘ตุ้บ!’ “เฮ้ย เกะกะ!” ฉันหันขวับไปมองขุ่นผู้ชายคนนั้นที่เพิ่งวิ่งเข้ามาชนไหล่ฉัน แล้วยังหันมาตะคอกได้อีก แต่พอสบตากัน หมอนั่นกลับเปลี่ยนสีหน้าฉับ คลี่รอยยิ้มหวานจัดจนเลี่ยน แล้วขยับมายืนพิงกำแพงใกล้ฉัน “ขอโทษครับ พี่ไม่ทันระวังเอง” “ไม่เป็นไร” ฉันบอกปัด ก่อนยกมือขึ้นสางผมตัวเองให้เข้าทรง แต่หมอนั่นกลับเบียดตัวเข้ามาอีกจนแขนแข็งๆ นั่นชนไหล่ฉัน อะไรของหมอนี่นะ! “มาคนเดียวเหรอครับ น้อง?” ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยปากตอบ หรือทำอะไรลงไป คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างกันก็เอื้อมมือมาโอบเอวดึงตัวฉันเข้าชิด มือเขาเกร็งแน่นที่หน้าท้องจนฉันไม่กล้าขยับ และเพราะใกล้กันมากจนไม่อาจหันมอง จึงไม่ทันเห็นว่าเขาแสดงสีหน้าแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ทำเอาอีตาขี้หลีนั่นหน้าซีดแทบไร้สีเลือด ก่อนเผ่นหายไปในพริบตาได้เลย อากาศรอบกายเราเย็นจัด แต่เอวฉันที่ถูกโอบไว้อย่างแนบชิดกลับอุ่นวาบ ระเรื่อยมาถึงหัวใจที่เต้นตึกตักแปลกไปกว่าปกติ...แปลกไปจากที่เคยบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียว เกิดอะไรขึ้นกับหัวใจฉันกันล่ะเนี่ย... “ปละ ปล่อยน่า” ฉันแทงศอกใส่เขา ก่อนยืนก้มหน้า พยายามปิดสีแก้มที่แดงจัดอยู่อย่างนั้น บ้าจัง...ขนาดไม่ได้มองสบตา ยังรู้สึกเหมือนกับทั่วทั้งหน้าแทบลุกเป็นไฟ และแล้วสายฝนที่โหมกระหน่ำในหนแรกค่อยผ่อนกำลังและเริ่มซาลงเมื่อรถแท็กซี่ที่หมอนี่โทรเรียกประมาณชาติกว่า (นานมากอะ) แล่นเข้ามาจอดรับ พวกเราก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และบอกจุดหมายปลายทาง อูย...หนาว “หรี่แอร์หน่อยครับพี่ ผมหนาว” พูดพลางโยนเสื้อคลุมกีฬาลงมาบนหัวฉันทั้งที่ตัวเองบ่นหนาว เฮ้อ! จะเป็นสุภาพบุรุษทั้งทีทำไมต้องทำเก๊กปากแข็งแบบนี้น้า...พวกผู้ชาย ฉันสวมเสื้อตัวนั้น ก่อนเอนกายพิงเบาะรถและหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนฤทธิ์ยาแก้แพ้ของยะหยามันเริ่มเล่นงานฉันอีกแล้วสิ หัวมันหมุนๆ วิ้งๆ เหมือนประตูรถมันเลื่อนเข้ามาหา แล้วเลื่อนออกไป รู้สึกตัวนิดหน่อยตอนนั่งสัปหงกจนถูกคนข้างกายดึงตัวให้พิงไหล่ สติสัมปชัญญะวูบๆ ดับๆ และเพียงไม่นานก็หายวับไป... ฉันหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่ทราบ... แต่ที่ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะเสียงนกร้อง ฉันลืมตามองเพดานนิ่ง ก่อนค่อยปิดเปลือกตาลงอีกหนเพราะความง่วงซึมจากฤทธิ์ยา รู้สึกถึงแผ่นหลังที่สัมผัสความอ่อนนุ่มของเตียงนอน และกลิ่นน้ำยาซักผ้าหอมติดมากับผ้าห่มนวมผืนใหญ่บนเรือนกาย... ...แต่ไม่เคยคุ้น ฉันสะดุ้งโหยง! ดีดตัวลุกจากฟูกนอนแทบไม่ทัน สมองที่พร่าเบลอเริ่มแจ่มชัดเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้น ห้องกว้างสีเทา ไม่สิ...ออกโทนน้ำตาลดำไล่ระดับสีสันอย่างลงตัว ม่านโปร่งใสสีน้ำตาลอ่อนทำให้แดดส่องเข้ามาเป็นลำ กับภาพวาดแนวศิลป์เป็นนักบาสเอ็นบีเอคุ้นตากำลังกระโดดขึ้นดังค์ติดอยู่บนฝาผนังเหนือเตียงขนาดคิงไซซ์ ไม่ใช่ห้องของฉัน!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD