EP 1 The Begin of Love Storied
FIRST PART
Bangkok, THAILAND
หากมีรักแล้วต้องเจ็บปวด
ฉันขอก่อกำแพงหัวใจให้สูงเกินกว่าที่ความเจ็บนั้นจะปีนป่ายข้ามมา
ต่อให้ต้องเสียน้ำตา...
...แต่ความรักก็ไม่เคยทำให้ใครเจ็บถึงตาย!
คุณเคยฝันร้ายรึเปล่า?
ฉันเคยนะ มันเป็นความฝันที่มืดมิดราวกับว่าจิตวิญญาณของฉันจะถูกกลืนกินไปกับราตรีกาล เจ็บปวด รวดร้าว และอื้ออึงด้วยสรรพเสียงอันน่าหวาดหวั่น
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...
เบื้องหลังเงามืดอันโหดร้ายนั้น อาจเป็น ‘อดีต’ ที่ฉันเคยเฝ้าตามหา
ความฝันนั้นจะเกิดกับฉันทุกคืนสิ้นปี เป็นแบบนี้มานาน...นาน เกินกว่าความทรงจำของฉันจะบันทึกไว้ได้ว่าตั้งแต่ช่วงปีไหน อันที่จริงฉันเองก็ความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วยสิ แม่บอกว่าฉันเกิดและโตที่ญี่ปุ่น ก่อนที่พวกเราจะย้ายมาอยู่ประเทศไทยเมื่อเก้าปีก่อน ตอนฉันแปดขวบ
แต่เชื่อไหม?
ฉันไม่มีความทรงจำตอนใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเลย แม้แต่นิดเดียว!
‘ความจำเสื่อม’
คือสิ่งที่คุณหมอวินิจฉัยในโรคลืมบ้านเกิดที่ฉันเป็นนับแต่วัยเด็ก แม่บอกว่า...ดีแล้ว...อย่าไปจำ อย่าไปคิดถึง ฉันเลยพยายามไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร อยู่กับปัจจุบัน ฉันมีทุกอย่างครบแล้ว ฉันมีแม่ มีเพื่อนสนิท มีความรื่นรมย์กับชีวิต
แต่แน่นอนว่า ‘คืนสิ้นปี’ ก็ยังคงนำพาม่านแห่งอดีตมากางรอให้ฉันเปิดออกทางความฝันซ้ำๆ และฉันก็กลัว...กลัวเกินกว่าจะข่มตาให้หลับ เลยเลือกที่จะไม่นอน เลือกที่จะข้ามผ่านความทรงจำเหล่านั้นไปด้วยการทำอะไรก็ได้ กดดันให้ตัวเองตื่นอยู่เสมอจนถึงเช้าวันใหม่
แต่ก็ขอสารภาพว่า การหวงแหนความสุขจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีต มันทำให้ฉันตะขิดตะขวงใจมากมายพอดู
ตอนฉันแปดขวบ
ที่ญี่ปุ่นเกิดอะไรขึ้นกันนะ?
อะไรกันคือความทรงจำที่ฉันทิ้งมันไป...
ฉันเห็นเขาครั้งแรกที่สนามบาสเกตบอล...
เจอเขาครั้งที่สองที่ห้องเรียน วันแรกของการเลื่อนระดับขึ้นชั้นมัธยมปลาย...
เขาสนิทกับเพื่อนฉัน...
แต่ฉัน...ไม่รู้จักเขา...
แสงตะวันส่องผ่านพวงดอกราชพฤกษ์สีทองอร่ามลงมายังทางเดินหินขัดของโรงเรียนเป็นประกาย ฉันเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางเด็กนักเรียนชุดฟอร์มเดียวกัน ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้วน้า พออากาศเย็นลงแบบนี้ก็คิดถึงที่ญี่ปุ่นจัง
ฉันกับแม่มาอยู่เมืองไทยนานแค่ไหนแล้วนะ...
‘ครืด’
“.....”
หืม? ทำไมพอฉันเปิดประตูห้อง ทุกคนต้องหยุดคุยกันแล้วหันมามองเป็นตาเดียวแบบนั้นด้วยอะ =”=
“น้ำริน!!”
“หา?”
“กรี๊ด! แกๆ มานี่เลย มานี่เลย!”
ฉันตีหน้าหมางงใส่ยะหยาเมื่อมันวิ่งมาจากโต๊ะข้างหน้าต่างเพื่อฉุดแขนฉันให้ตามไปที่โต๊ะของตัวเอง อะไรเนี่ย? ใครเอาช่อกุหลาบแดงมาวางไว้บนโต๊ะฉันอะ อ๊ะ! แนบการ์ดมาด้วยนี่นา
'ผมเฝ้ามองคุณจากทุกที่นะครับ นางฟ้าของผม'
อี๋~ ไอ้บ้าเจ้าของดอกไม้เนี่ยท่าจะตามไปแอบมองฉันในห้องน้ำด้วยสิเนี่ย ก็เขาบอกทุกที่ โรคจิต!
“อ๊าย โรแมนติกขั้นเทพอะ ฉันอยากได้บ้าง อยากได้บ้าง”
“แกก็ไปซื้อเอาสิ”
ฉันว่า พลางยกเจ้าช่อดอกไม้ขึ้นเหนือศีรษะ แล้วปามันตรงไปยังถังขยะหลังห้อง โป๊ะเชะ! ช่อดอกสีแดงสดนั่นกระทบกำแพงก่อนเด้งลงถังพอดี โว้ว แม่นขั้นเทพเหมือนกันแฮะเรา
“ก...แกทิ้งทำไมอะ โหดร้าย~”
“ถ้าฉันรู้ว่าใครเอามาวางไว้ ฉันจะชกมันแถมให้ด้วยนะ“
“ชก จูบ ชก จูบ ป่ะ?”
ยัยจอมวายร้ายเพื่อนฉันยกสองมือแตะแก้มป่องๆ ของตัวเองแล้วทำปากยื่นปากยาวล้อเลียน ก่อนจะรีบเผ่นหนีอย่างไวพร้อมหัวเราะคิกคักเมื่อฉันแยกเขี้ยว ยกหมัดขึ้นขู่ใส่ และเมื่อร่างบางของยะหยาขยับห่างออกไป ก็ทำให้ฉันสบสายตากับผู้ชายคนนั้นที่ยะหยาเคยยืนบังไว้ และเขามองตอบกลับมาพอดี
ฉันเป็นฝ่ายเสมองไปอีกทาง และทิ้งตัวลงนั่งประจำที่ของตัวเอง...
นับแต่เปิดเทอม จนถึงตอนนี้ ฉันไม่เคยสบตากับเขาได้นานกว่าสองวินาทีด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้จักเขา แต่เขาสนิทกับเพื่อนฉัน ฉันรู้แค่ว่าเขาเป็น นักบาสตัวจริงของโรงเรียน เพราะเคยไปนั่งดูการแข่งขันเชิงซ้อมที่โรงยิมบ้างเป็นบางครั้ง
ในสนาม เขาดูมีพลัง และเปล่งประกาย
และดวงตาคู่นั้นก็มี ‘บางอย่าง’ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขา ‘อันตราย’ เกินกว่าจะเข้าใกล้...
นับจากวันนั้น ทุกวันศุกร์จะมีกุหลาบแดงมาวางบนโต๊ะฉัน แถมยิ่งนานวัน ข้อความในการ์ดก็ยิ่งเพิ่มความหวานจนเลี่ยน แม้ว่าฉันจะโยนมันทิ้งถังขยะเป็นกิจวัตร แต่วันศุกร์ถัดมา ก็จะมีกุหลาบช่อใหม่มาวางบนโต๊ะฉันตั้งแต่เช้าตรู่อยู่ดี
เพื่อนๆ ฉันแทบจะใจสลายกันทุกครั้งที่เห็นฉันทิ้งดอกไม้สวยๆ น่าทะนุถนอมนั่น แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ไม่ว่าเจ้าของดอกไม้นั่นจะเป็นใคร เขาอาจหล่อ อาจนิสัยดี อาจรวยล้นฟ้า อาจรักฉันเข้าไส้ แต่ถ้ายังไม่กล้าแสดงตัวต่อหน้า ฉันก็จะถือว่านั่นคือการแสดงออกมาถึงความขี้ขลาด ไม่มีความเป็นผู้นำ ถึงเจอหน้ากันขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะเอาแต่เดินตามฉันต้อยๆ
และฉันไม่ชอบผู้ชายแบบนั้น
“ฮัดเช้ย!”
“กรรม ตาม ทัน!”
ยะหยาหันมาส่งสายตาจิกฉัน หลังจากเห็นกุหลาบช่อที่หกถูกทิ้งลงถังขยะหน้าโรงเรียนต่อหน้าต่อตา โหยๆ ช่อนี้ฉันใจดีแล้วนะ เก็บไว้ทิ้งหลังเลิกเรียนเลยอะ (ได้ข่าวว่าเพราะถังขยะในห้องเต็ม ยัดลงไปไม่ได้ =_=) ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นน่าจะรู้ น่าจะเห็นนะ ว่าฉันทำยังไงกับดอกไม้ของเขา ทำไมไม่เลิกเอามาวางให้ฉันเก็บทิ้งหลังเลิกเรียนซะที
หรือหมอนั่นจะเห็นฉันเป็นคนทำความสะอาด?
“ฮัดชิ่ว!”
โอ๊ย! จะจามอะไรกันนักกันหนาเนี่ยฉัน
“เป็นหวัดเหรอแก ฉันมียาแก้แพ้ติดมา กินกันไว้หน่อยดีกว่าป่ะ?”
ฉันแบมือรับยาเม็ดเล็กสีเหลืองจากยะหยา และส่งมันเข้าปากไปโดยไม่มองพร้อมกับกระดกน้ำอัดลมในมือตาม พอหันไปอีกที เพื่อนฉันก็อ้าปากค้าง อะไรของมันอีกเนี่ย?ป
“ฉันให้แกไปสี่เม็ดเลยนะริ๊น!! แล้วใครเค้าสั่งเค้าสอนให้แกกินยากับเป๊ปซี่ยะ! คายออกมาเดี๋ยวนี้ก่อนแกจะกลายเป็นศพน้า~”
เอิ่ม...ได้ข่าวว่าฉันจะกลายเป็นศพเพราะโดนมันบีบคอเขย่าๆๆ อยู่เนี่ยมากกว่านะ
“ไม่เป็นไรมั้ง ฉันก็ยังไม่ตายนี่”
“คายออกม้า!!”
“แกอย่าทำหน้าสยองแบบนั้น คุณหญิงย่ามารับแล้วโน่น”
มือบางละจากคอฉันทันควัน พร้อมอาการยืนตัวตรง สง่า และใบหน้าเหยเกนั่นก็เปลี่ยนฉับเป็นนุ่มนวลแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ราวเอาหน้ากากมาแปะไว้
เห็นกี่ทีก็ทึ่งอะ การ ‘แปลงร่าง’ ของคุณหนูยะหยา(จอมเฟก)เนี่ย
ฉันยกมือไหว้ทักทายคุณหญิงย่าและส่งยะหยาขึ้นรถเบนซ์คันงามกลับบ้านไป แล้วเดินเลยไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงเรียน เพียงไม่นานหลังจากนั้น สายฝนก็ตกกระทบกระจกหน้าต่างจนไอน้ำเกาะพราว กระทั่งที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ข้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ฉันเลยเขียนรูปหัวใจเล่นที่กระจกรถฆ่าเวลา
แล้วร่างสูงโปร่งคุ้นตา ก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงกลางหัวใจฉัน
เอ่อ...หมายถึงรูปหัวใจที่ฉันเขียนเล่นน่ะ
คนนั้นยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนตรงมายังรถเมล์ที่ฉันเป็นผู้โดยสาร เขาพาตัวเองที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กขึ้นรถมาและชะงักเท้าเมื่อเห็นฉัน ก่อนจะเสมองไปอีกทางแล้วเดินผ่านไปทางด้านหลังทันที
ขี้เก๊กชะมัด
ฉันมุ่ยปาก เอนกายพิงเบาะรถแข็งกระด้าง เครื่องปรับอากาศภายในรถก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้นทุกขณะเพราะไอฝน ทำเอาฉันหาวหวอด ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนเพลีย ง่วงจัง...ยาแก้แพ้ของยะหยามาออกฤทธิ์อะไรตอนนี้นะ
อย่าหลับนะน้ำริน อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว
อย่าหลับเชียวนะ...