“เราไม่รู้จะตอบยังไงน่ะเฟื่อง แต่เขาดูเจ้าชู้นะ”
ฉันว่าเขาน่าจะเจ้าชู้แหละ ถ้าคนไม่เจ้าชู้ คงไม่กล้ามีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟนหรอก อยากจะเตือนเพื่อนแค่เรื่องนี้ ส่วนเพื่อนจะตัดสินใจยังไง ก็คงแล้วแต่นั่นแหละ
[เราก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เสียดายนิดๆแฮะ น้องเขาน่ารักดี]
“เหรอ… เฟื่องลองให้โอกาสเขาดูก็ได้นะ บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราพูดก็ได้”
เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันพูดก็ได้ ฉันไม่อยากตัดสินใครโดยใช้มุมมองของตัวเอง อีกอย่างไม่ใช่เรื่องของฉันด้วย ให้เพื่อนตัดสินใจเองดีกว่า ว่าจะเอายังไง
[มันจะดีเหรอ?]
“มะ มันอาจจะดีก็ได้นะ เห็นเขาบอกว่าพ่อแม่ตัวรู้เรื่องการหมั้นนี่นา ถ้าเขาไม่ใช่คนดี พ่อแม่ตัวคงไม่อยากได้เป็นลูกเขยหรอก”
[นั่นสินะ เราก็ไม่อยากตัดโอกาสใครด้วย]
“อ่า สู้ๆนะ”
อยู่ดีๆหัวใจก็บีบตัวแน่นจนหายใจไม่ออก ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ฉันรู้สึกเหมือนว่าในอนาคต ระหว่างฉันกับเฟื่องฟ้าอาจจะไม่เหมือนเดิม ถ้าหากเพื่อนลงเอยกับเขาจริงๆ ความสัมพันธ์ของฉันกับเพื่อนคงไม่มีวันเหมือนเดิมแน่ เฟื่องฟ้าเป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน ฉันไม่อยากเสียเธอไป แต่เรื่องหัวใจ ฉันคงห้ามใครไม่ได้จริงๆ
[เราขอบคุณตัวมากนะ]
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
[เราไม่กวนตัวแล้ว ฝันดีนะ ถ้ามาเรียนไม่ไหวบอกเรานะตัว เดี๋ยวเราแจ้งอาจารย์ให้]
“จ้า”
ฉันกดตัดสายด้วยตัวเอง โยนโทรศัพท์ทิ้งไปปลายเตียงอย่างไม่สนใจ ว่าฉันจะลำบากแค่ไหนตอนที่หาเงินซื้อมันมา ฉันยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ปล่อยน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเสียใจเพราะอะไร หลั่งไหลออกมาจนเปียกหมอน
ฉันพลาดแล้ว เรื่องที่ตัดสินใจโดยใช้อารมณ์เพียงชั่ววูบคิด มันย้อนกลับมาเล่นงานฉันแล้ว ถ้าหากสองคนนั้นลงเอยกันจริงๆ ฉันจะยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ไหมนะ
วันต่อมา
08:45 น.
เพราะนอนไม่หลับทั้งคืน ไข้ที่มีอยู่ตั้งแต่เมื่อวานจึงไม่ยอมลดลงเลย แม้จะมีไข้สูงจนแทบจะทลุปรอท แต่เพราะช่วงนี้ใกล้สอบเก็บคะแนนฉันจึงขาดเรียนไม่ได้ แม้จะเก็บหน่อยกิตใกล้ครบแล้ว แต่ฉันเป็นนักเรียนทุนด้วย การรักษาเวลาในการเรียน ก็เป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ฉันต้องทำเพื่อรักษาทุน
“ฟาร์มีเรียนเช้าเหมือนกันเหรอ?”
ฉันหยุดฝีเท้าลงก่อนจะถึงตึกคณะที่ตัวเองเรียน รีบเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในซอกของอาคาร เพื่อให้คนที่เดินอยู่ด้านหน้า เลี้ยวเข้าไปในตัวอาคารก่อน เมื่อไม่ได้ยินเสียงเพื่อนกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ฉันก็ค่อยๆเดินออกมาจากซอกหลืบของอาคารช้าๆ
“พี่!”
“กรี๊ด! ผีหลอก!”
“ฮ่าๆ!”
คนที่ทำฉันตกใจหัวเราะจนตัวงอ ดวงตาปิดลงจนแทบจะมองไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้ว่ามันมีสีฟ้าสดใส ฉันจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของรุ่นน้องคนนั้น ไม่รู้ชื่อหรอก แต่เราเคยเดินผ่านกันบ่อยๆ
“หัวเราะพอหรือยังคะ ถ้าพอแล้วช่วยหลีกทางด้วย”
“ยัง! หน้าพี่ยังตลกอยู่เลย”
เขาหยัดแผ่นหลังขึ้นตรง การทำแบบนั้นส่งผลให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นตาม เขาน่าจะสูงกว่าเพื่อนคนนั้นของเขาแค่นิดหน่อย ส่วนเครื่องหน้า ดูดีไม่น้อยไปกว่าเพื่อนเขาเลย ซ้ำยังเป็นลูกครึ่งที่มีตาสีฟ้าด้วย ผู้ชายคนนี้หน้าตาดี ซ้ำยังยิ้มสวยอีกต่างหาก
เอ๊ะ! เขายิ้ม? ยิ้มอะไรก่อน? ยิ้มเยาะฉันเหรอ?
“พี่แต่งหน้าเหรอ? หน้าใสจัง?”
เขาโน้มใบหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว เพราะระยะห่างที่ลดลงทำให้ฉันผละถอยหลัง ยกมือปิดใบหน้าไว้ หวาดกลัวว่าเขาจะรู้ ว่าฉันคือผู้หญิงที่ใช้ชื่อย่อว่า K
“ปิดทำไมอะ พี่หน้าสวยออก?”
“คือ… ขอโทษนะ ขอทางได้ไหมคะ”
“นี่! ผมสนใจพี่มาสักพักแล้วนะ คิดอยู่ว่าถ้าได้มองใกล้ๆ จะต้องสวยแน่ แต่ความจริงไม่ใช่แฮะ สวยกว่าที่คิดไว้อีก”
เขาจับมือฉันออก แรงที่ใช้เบามาก ซ้ำน้ำเสียงที่พูดยังอ่อนโยนสุดๆ ฉันเหมือนถูกดูดเข้าไปในภวังค์ รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ตอนที่มองเห็นใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังเขา
“มึงทำอะไรรุ่นพี่วะชาร์ล?”
“กูจีบ”
“หะ!/ คะ?”
“ก็บอกว่าจีบไง”
“สาวแว่นนี่นะ มึงไม่ชอบแนวนี้นี่?”
“แล้วไง สเปกคนเรามันเปลี่ยนกันได้”
เขาหันไปคุยกับเพื่อน แต่ไม่ยอมปล่อยมือฉันออก ฉันพยายามดึงมือออกมาแล้ว แต่มือคู่นั้นค่อยๆกำแรงขึ้น สุดท้ายฉันเจ็บจนขืนออกไม่ไหว จึงปล่อยให้เขากำอยู่แบบนั้น
“อืม กูไปรอที่ตึก”
“อืม เดี๋ยวตามไป”
“ไปตอนนี้เถอะค่ะ พี่จะสายแล้ว”
“ไปห้องพยาบาลกัน ตัวร้อนขนาดนี้ ยังคิดจะไปนั่งเรียนตากแอร์อีกเหรอ?”
พลั่ก!
“ขอโทษนะคะ แต่ช่วยอย่ามายุ่งกับฉันได้ไหม”
ฉันปัดมือเขาออก ไม่ใช่รังเกียจที่เขาบอกว่าจะจีบ แต่ฉันคบกับใครไม่ได้หรอก ไม่มีความคิดจะคบกับใครมาก่อน ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่อยากคบเข้าไปใหญ่ อีกอย่างเขาเป็นเพื่อนของผู้ชายคนนั้น ฉันยิ่งไม่อยากเข้าไปพัวพันด้วย
“ทำไม?”
“ฉันมีคนที่ชอบแล้วค่ะ”
“อ่า… งั้นเหรอ … เสียดายจัง”
เขาดูเสียใจจริงๆ และฉันก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหก แต่ฉันเปลี่ยนคำพูดไม่ได้ เราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน ฉันไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนทั้งสิ้น ยิ่งคนที่อยากคบกับฉันยิ่งไม่ควรใหญ่ พวกเขาจะคิดยังไง ถ้าหากรู้ว่าฉันเคยทำอาชีพแบบไหนมาก่อน
“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ ขอโทษจริงๆค่ะ”
ฉันเดินจากไปแบบไม่หันกลับไปมอง เขาหน้าตาดีขนาดนั้น นิสัยก็ไม่ได้แย่ ไม่นานก็คงเจอผู้หญิงดีๆที่เหมาะสม แบบนั้นมันจะดีกับเขามากกว่า ภาวนาให้เขาได้เจอคนดีๆแล้วกันนะ
ฉันเสียเวลาอยู่ข้างล่างนานหลายนาที พอขึ้นมาถึงชั้นเรียนก็พบว่าคลาสเริ่มไปแล้ว แม้จะมาสายแต่เพราะสีหน้าฉันดูแย่มาก อาจารย์เลยไม่ตำหนิอะไร ซ้ำยังแสดงความห่วงใย ด้วยการบอกให้ฉันหายากินตอนเลิกคลาสด้วย
“ตัวนอนพักไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเราจดไว้ให้”
“ไม่เป็นไรตัว เรากินยามาแล้ว อาการมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
“อ่า… ถ้าไม่ไหวตัวบอกเรานะ”
“จ้า ขอบใจนะ”
ฉันรู้สึกขอบคุณเพื่อนเสมอที่เธอแสดงความห่วงใย แล้วก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ กับเรื่องที่ตัวเองทำไปก่อนหน้านั้น ยิ่งความสัมพันธ์ของเพื่อนดูจะพัฒนาไปในทางที่ดีแค่ไหน ฉันยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตัว!”
“หืม?”
“ฟาโรห์ชวนเราไปเที่ยวแหละ เราไปดีไหม เจอกันวันเดียว ไปเที่ยวด้วยกัน มันน่าเกลียดไหมอะตัว?”
“อ่า… ตัวอยากไปไหมละ?”
ฉันละสายตาจากหน้าห้องมามองเพื่อน คำตอบชัดเจนอยู่บนใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตา ใบหน้าแดงเรื่อดูน่ารักมาก มากจนฉันอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ไม่น่าเกลียดหรอกตัว”
“เรายังกลัวน้องเขาอยู่อะ ตัวไปด้วยได้ไหม”
“อ่า เราไม่สบายอยู่นี่สิ อีกอย่างถ้าเราไป เราก็เป็นก้างนะสิ”
“ง่า! เราไม่กล้าไปกับน้องเขาอ่า”
“สองคนนั้นอะ! อภิชญา! มาสายแล้วยังชวนเพื่อนคุยอีกนะ!”
“ขะ ขอโทษค่ะอาจารย์… เรียนก่อนดีกว่าเนอะ ตัวค่อยๆคิดแล้วกัน”
ฉันนึกขอบคุณอาจารย์อยู่ในใจ ที่ช่วยด่าฉันในตอนที่รู้สึกอึดอัดสุดๆ ฉันก้มหน้าก้มหน้าเหมือนโฟกัสกับการเรียนเต็มที่ ส่วนสมองนะเหรอ มันคิดเรื่องเรียนที่ไหน มันคิดเรื่องของผู้ชายคนนั้นนะสิ โชคดีที่เขาดูเหมือนจะจำฉันไม่ได้ แต่โชคดีจะอยู่กับฉันอีกนานแค่ไหนเชียว ฉันรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ และรู้สึกกลัวความลับแตกมากกว่าเมื่อก่อน