ทำงานหนักจนสมองเบลอ หรือสมองเบลออยู่แล้วแต่แรก
“ลองโทร ได้ความยังไงส่งข้อความมาบอกด้วย”
“หมอกันต์! หมอกันต์อย่าเพิ่งไปค่ะ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์วิ่งผมม้าเปิดเข้ามาหา
“หมอตรีก็อยู่ด้วย โชคดีจังเลยที่เจอคุณทั้งสองคน”
“ผมยืนอยู่ก่อนหมอกันต์สิบนาทีได้แล้วคุณ”
อยากจะพูดคำว่าแหมลากยาวไปถึงสี่แยกไฟแดง ในสายตาสาวๆ มีแต่กันต์ดนัยหรือยังไง
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่มองเห็นหมอตรีจริงๆ”
“พูดธุระของคุณมาเถอะครับ ผมต้องรีบไปดูคนไข้”
“ได้ค่ะหมอกันต์ คือ เมื่อสักครู่หมอปลื้มโทรเข้ามาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ฝากดิฉันปรินต์เอกสารฉบับนี้มาให้หมอกันต์ไม่ก็หมอตรีเอาไปส่งให้ท่านผู้อำนวยการ”
“เอกสารอะไร” ได้ยินชื่อเพื่อนสนิทสองหนุ่มรับมาอ่าน พลันขนอ่อนลุกเกรียวมองกันและกัน
“ฉิบหาย” ตรีวิทย์หลุดปากสบถ คนมองกันเต็ม ลากแขนกันต์ดนัยไปคุยส่วนตัว
“บอกแล้วว่าปลื้มเอาจริง เห็นไหม ไม่ทันข้ามวันร่อนจดหมายลาออกส่งตรงถึงโรงพยาบาล อยากจะบ้า ทำยังไงดี ฉีกทิ้งดีไหม”
“อย่า! บ้าเหรอ มีลายเซ็นปลื้มแนบมาด้วยนายก็เห็น”
“ถ้าเอาไปส่งผู้อำนวยการจะไม่บ้ากว่าเหรอ”
“ปลื้มขอลาออก ส่วนจะให้ออกหรือเปล่า อยู่ในดุลพินิจผู้อำนวยการ มันอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของเรา”
“ถ้าอย่างนั้นนายเอาไปส่งแล้วกัน ฉันไม่กล้า”
ตรีวิทย์ไวปานลิง คว้าได้แค่สายลม
“เฮ้ย! โยนกันง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
ไม่มีคำจะพูด งานล้นมือยังไม่ได้นอนเต็มตาตั้งแต่เมื่อคืน ต้องรีบไปตรวจคนไข้ กลับต้องรับหน้าที่ส่งจดหมาย คนที่พอมีเวลาว่างกลับวิ่งหนี ช่างเป็นเพื่อนที่รักเพื่อนเสียจริง เขาประชด!
ก๊อก ก๊อก!
ไม่รอเจ้าของโรงพยาบาลอนุญาตเปิดประตูเข้าไป
“ขออนุญาตครับ”
“รอเป็นไหม” ตำหนิเพื่อนสนิทลูกชายคนโต ในห้องไม่ได้มีแค่ท่าน แต่มีญาติคนป่วยมาขอคำปรึกษาส่วนตัว
“ขอโทษครับ ผมมีเรื่องสำคัญอยากรายงานให้ท่านทราบ”
“จะด่วนแค่ไหนก็ควรมีมารยาท ออกไปก่อน”
นายแพทย์สิทธิเดชขับไล่กันต์ดนัย กลับมาคุยแนวทางการรักษากับญาติคนไข้ ทว่ากันต์ดนัยไม่มีทีท่าจะออกไป
“เด็กสมัยนี้ไม่มีมารยาทกันหมดหรือไง มีอะไรก็ว่ามา”
“ผมมาส่งกระดาษแผ่นเดียวครับ”
“วางไว้บนโต๊ะ แล้วออกไป”
“ได้ครับ ผมวางจดหมายลาออกปลื้มไว้ตรงนี้นะครับ”
เจ้าของโรงพยาบาลมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม ขอจบการสนทนาเพื่อพูดคุยกับกันต์ดนัยตามลำพัง หลังจากได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดเส้นเลือดบนขมับนูนเด่น ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะขยุ้มลงบนกระดาษจนเละคามือ โกรธหน้าแดงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เมื่อลูกชายคนโตผู้เป็นความหวังเดียวในการรับช่วงสืบทอดบริหารธุรกิจ ส่งจดหมายลาออกจากโรงพยาบาล
“ชักจะเอาแต่ใจมากขึ้นทุกวัน! อย่าเพิ่งให้เรื่องแพร่งพรายออกไป ฉันจะโทรคุยกับมันให้รู้เรื่อง”
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ไม่มีใครติดต่อปลื้มได้”
“เพื่อนนายส่งเอกสารบ้าๆ มาตั้งแต่ตอนไหน!”
“ไม่ทราบว่าส่งมาตอนไหน ผมเพิ่งได้รับจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เมื่อสักครู่ ทันทีที่ทราบเรื่องก็นำมารายงาน”
“อยากลาออกก็ตามใจ จะไปทำงานที่ไหนก็เรื่องของมัน!”
“ท่านยินยอมที่จะตัดขาดกับปลื้มใช่ไหมครับ”
“มันพูดเอง ไม่ใช่ฉันเป็นฝ่ายเริ่ม! ฉันไม่เคยมีปัญหา มันต่างหากชอบหาเรื่องทะเลาะ เรียกกลับมาก็ทะเลาะกันเหมือนเดิม อยากลาออกนักก็ให้ออกไป!”
“ท่านปรึกษาปลื้มหรือเปล่า ก่อนให้ธีเข้ามาทำงาน”
“ปรึกษาทำไม ธีกับปลื้มทำงานคนละส่วน”
“ทำงานองค์กรเดียวกัน จะอ้างว่าทำคนละส่วนไม่ได้หรอกครับ ท่านอนุญาตให้ธีเข้ามาแสดงบทบาทอำนาจเป็นใหญ่ในการบริหาร ใส่ใจความรู้สึกธีมากกว่าปลื้ม ทั้งที่ท่านทราบว่าสองคนไม่ถูกกัน ปลื้มหันหลังให้ปัญหาทางบ้านตั้งใจทำงานมาตลอด จนถึงวันที่ท่านเอาธีเข้ามาระรานบีบให้ปลื้มไม่มีที่ยืน กลับบ้านก็เจอพวกนั้น มาทำงานก็ยังเจอ ท่านรู้ปัญหา แต่ปิดหูปิดตาทำเหมือนไม่มีอะไร คับที่ไม่ลำบากเท่าคับใจ ถ้าผมเป็นปลื้มผมก็ลาออกเหมือนกัน”
“เธอจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อทุกคนคือครอบครัว!”
“ผมทราบครับ ว่าปลาทุกตัวอาศัยในน้ำ แต่ไม่ใช่ทุกชนิดจะอยู่รวมกันได้ ท่านไม่มีทางจับปลาพันธุ์ดุสองชนิดมาอยู่ด้วยกัน แล้วคาดหวังว่าพวกมันจะไม่ทำร้ายหรือกินกันเอง เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ ผมเด็กเกินกว่าจะพูดให้ท่านเข้าใจ ขอตัวก่อนนะครับ”
กันต์ดนัยบีบมือจนเจ็บ กลัวควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้พลั้งปากเสียใส่ผู้อำนวยการ เข้าใจปรเมศวร์ในฐานะที่บิดามีเมียน้อยเหมือนกัน
คล้อยหลังประตูปิดลง นายแพทย์สิทธิเดชหยิบแผ่นกระดาษยับยู่ยี่มาอ่านอีกครั้ง สายตาท่านสะดุดเข้าที่ลายเซ็นเล็กๆ เขียนโดยลายมือลูกชาย เมียหลวงกับเมียน้อยจัดอยู่ในประเภทปลาพันธุ์ดุทั้งคู่ เพราะเหตุนี้บ้านถึงได้เละเทะมากทุกวัน หรือท่านเอง ที่เป็นคนผิด?