สอง
หิมะปริศนา
ท่านหมอปริศนาจิ้งอวิ๋นอยู่ค้างแรมเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะจากไปยามรุ่งสาง เดิมทีหยวนเสียนมักพานางไปเรียนหนังสือพร้อมกับเด็กที่โรงทานและสถานที่ต่างๆ แต่เมื่อนางยืนกรานว่าสามารถดูแลตนเองได้จึงได้รับอนุญาตให้อยู่บ้านตามลำพัง
ทว่าวันนี้เด็กน้อยที่ชอบอยู่ติดบ้านกลับเตรียมตัวเรียบร้อยก่อนผู้เป็นบิดาเสียอีก
“วันนี้อี้เอ๋อร์ของพ่อตื่นแต่เช้า” ชายหนุ่มในอาภรณ์ค่อนข้างเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้านกล่าวกับบุตรสาวยิ้มๆ ขณะที่วางก้อนหมั่นโถวที่เพิ่งนึ่งเสร็จร้อนๆ ลงบนชามเปล่าเบื้องหน้า
“เจ้าค่ะ” เด็กน้อยยิ้มเนือยๆ ที่นางตื่นเช้าเป็นเพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสอยู่ทั้งคืนจนนอนไม่หลับ “แล้วหมั่นโถวของท่านพ่อ...”
“ไว้ข้าค่อยไปกินที่โรงทาน”
หยวนเสียนตื่นมาส่งผู้อาวุโสจิ้งก็ตรงออกไปซื้อหมั่นโถวที่ตลาดด้านนอก เดิมทีคิดว่าจะซื้อหมั่นโถวมากินรองท้อง แต่เมื่อเห็นแก้วตาดวงใจตื่นขึ้นมานั่งรอ เขาก็พร้อมที่จะยกมันให้นางทันทีอย่างไม่ลังเล
ดวงตาสีชาของหยวนจื่ออี๋จับจ้องอยู่ที่ก้อนแป้งสีขาวส่งควันล่องลอยก่อนจะเบนหน้ากลับไปยังบิดา “ข้ายังไม่ค่อยหิวเจ้าค่ะ”
แม้จะมีบ้านอยู่โดยไม่มีหนี้สิน แต่บิดาก็หาเช้ากินค่ำ นางไม่อยากกินหมั่นโถวลูกนี้แล้วปล่อยให้บิดาเดินหิวไปถึงโรงทาน
“แต่ว่า...”
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเราแบ่งกันคนละครึ่งลูก” หยวนจื่ออี๋เอ่ยพลางใช้มือบิก้อนแป้งออกเป็นสองก้อน แม้จะร้อนมืออยู่บ้างแต่ก็อยู่ในขั้นที่พอทนไหว
ผู้เป็นบิดามองใบหน้าของบุตรสาวด้วยความเอ็นดูระคนซาบซึ้ง เขารับก้อนหมั่นโถวครึ่งลูกไปขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกอดรัดคนตัวเล็กไว้อย่างหวงแหน “อี้เอ๋อร์ พ่อรักลูกนะ”
หยวนจื่ออี๋ยกยิ้มตอบ “ข้าก็รักท่านพ่อ”
“วันนี้เจ้าไม่อยากไปเรียนเขียนอักษรกับข้าหรือ”
“ท่านพ่อ ข้าเล่าเรียนกับท่านมามากแล้ว สู้ข้าแบ่งปันท่านให้ผู้อื่นบ้างมิดีกว่าหรือเจ้าคะ”
คำพูดที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยเรียกเสียงหัวเราะจากอาจารย์หนุ่มได้เป็นอย่างดี
“อี้เอ๋อร์” เขาถอนหายใจ “เจ้าเป็นเด็กมีไหวพริบ ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้าที่พาเจ้ามาอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้”
“แต่ข้าชอบที่นี่เจ้าค่ะท่านพ่อ” รอยยิ้มบนดวงหน้าเล็กแย้มกว้างขึ้นในขณะที่เจ้าตัวอธิบาย “ท้องฟ้าที่นี่สดใสงดงาม อิงหั่วฉงในฤดูร้อนก็เปล่งประกายระยิบระยับ มีภูเขา มีธารน้ำ ข้าต่างหากที่ขอบคุณท่านพ่อที่ทำให้ข้าได้เติบโตที่นี่”
หยวนเสียนได้ฟังเช่นนั้นก็หัวใจพองโต โน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มสายเลือดเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่อย่างรักใคร่ “เย็นนี้อี้เอ๋อร์อยากกินอะไร”
“หากเป็นท่านพ่อทำ ข้าก็กินได้ทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
สองพ่อลูกพูดคุยกันอย่างอบอุ่น ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาจั๊กจี้บุตรสาวตัวน้อย หยวนจื่ออี๋ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก กลิ่นอายแห่งความสุขแผ่ออกมาจากเรือนเล็ก ฝูงนกน้อยใหญ่ร่ำลาลูกน้อยพากันโผบินออกจากรัง
หลังจากที่หยวนเสียนออกจากบ้านไปแล้ว ร่างเล็กก็เบือนสายตาไปยังภาพวาดเทียนซือขับพิษ[1] ซึ่งเป็นภาพเดียวที่แขวนอยู่บนผนังบ้าน นางประสานมือไว้เบื้องหน้าเพื่อทำความเคารพก่อนจะลงกลอนปิดบ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังหน้ากระท่อมของต้าหงตามเวลานัดหมายเพื่อเดินทางไปยังถ้ำค้างคาว
เด็กน้อยร่างเล็กเดินเตะหินไปตามทาง ภาพของท้องฟ้าสีน้ำเงินตัดกับสีแสดของแสงตะวันยามเช้าดูลึกลับ เปี่ยมด้วยมนตร์เสน่ห์น่าหลงใหล
นางชื่นชอบบรรยากาศแสนสงบของรุ่งเช้า มันเปรียบเสมือนสัญญาณแห่งการเริ่มต้นที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการมีชีวิต
การดำเนินชีวิตที่นี่ค่อนข้างเรียบง่ายและสงบ ชาวบ้านไม่ว่าจะคนเฒ่าหรือเด็กล้วนแล้วแต่ซื่อตรงและจริงใจ ผู้คนในหมู่บ้านเปรียบเสมือนญาติมิตร การไปมาหาสู่กันทำเป็นกิจวัตรจึงถือเป็นเรื่องปกติ
หยวนจื่ออี๋เดินเตร็ดเตร่ผ่านเส้นทางอันคุ้นชิน เอ่ยทักทายผู้คนที่เดินผ่านด้วยรอยยิ้ม จวบจนกระทั่งมาถึงจุดหมาย หน้าเรือนของต้าหงมีเด็กวัยห้าถึงแปดขวบอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา สิ่งที่พวกเขาเตรียมการณ์กลับไม่มีคบเพลิงหรือลูกศร แต่เป็นว่าวหลากสีสันที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีประโยชน์สำหรับการไปล่าค้างคาว
ไวเท่าความคิด หยวนจื่ออี๋ก็เลิกคิ้วเอียงคอมองสหาย
“พวกเราไม่ไปถ้ำค้างคาวแล้ว”
“พวกเราจะไปเล่นว่าว” ต้าหงเอ่ยพลางฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ชูว่าวที่วาดเป็นรูปงูในมือไปมาอย่างโอ้อวด “ท่านพ่อบอกว่าวันนี้ลมดี ถ้าเล่นว่าวมันจะไปได้สูงมากๆ”
"อ้อ” หยวนจื่ออี๋พยักหน้าหงึกหงัก เด็กก็เป็นเช่นนี้ พวกเขามักจะเปลี่ยนใจเร็วเสมอ แต่ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อถ้ำค้างคาวมันก็ฟังดูอันตรายเกินไปหน่อย
เด็กชายร่างอ้วนเห็นเด็กหญิงไม่กระตือรือร้นดังที่คิดไว้ก็กระแอมไอเรียกร้องความสนใจ หากเมื่อนางหันไปมองสบตาตรงๆ ก็ขัดเขินจนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มใหญ่แดงระเรื่อราวกับผลท้อ “ถะ...ถ้าเจ้าไปด้วยกัน ข้าอาจจะแบ่งว่าวให้เจ้าเล่นด้วย”
การที่ต้าหงชอบนางเป็นสิ่งที่แค่มองปราดเดียวก็ดูออก ทว่ากับเด็กบางคนมันกลับยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ
“อาอี๋ ไปเล่นด้วยกันเถอะ ข้ามีว่าวอยู่สองตัว จะแบ่งให้เจ้าตัวหนึ่ง” อาเฉาชักชวนนางด้วยรอยยิ้ม ทำเอาต้าหงหันไปถลึงตาแยกเขี้ยวใส่
“จะไปเล่นว่าวกันที่ใดหรือ” หยวนจื่ออี๋เอ่ยถาม
เสี่ยวจูได้ฟังคำถามก็ชี้นิ้วไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเรือนหลังเล็กของต้าหง “เราจะไปเล่นตรงเนินเขาทางทิศเหนือ”
“ข้าว่าเช้าขนาดนี้ยังไม่น่ามีลมแรง” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กล่าวก่อนจะโยกศีรษะไปมา “เราไปนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ธารน้ำก่อนดีหรือไม่”
“ดีๆ ไปที่ธารน้ำกัน”
หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มเด็กน้อยซึ่งเป็นสีสันของหมู่บ้านก็มุ่งหน้าไปยังธารน้ำฝั่งทิศตะวันออก สายลมยามเช้าเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยพัดหญ้าอ่อนให้พลิ้วไหวหยอกเย้ากับฝูงชิงถิง[2] ตรงริมน้ำ ภาพของวงกลมสีแสดสาดส่องขึ้นบนท้องฟ้าสัมผัสเข้ากับกลีบเมฆโดดเด่นชัดเจน เป็นอีกครั้งที่เด็กน้อยเห็นนกอินทรีตัวเดิมบินว่อนอยู่เหนือศีรษะ
เด็กสี่คนนั่งอยู่ริมน้ำมองภาพพระอาทิตย์ขึ้น ความเงียบสงัดส่งผลให้หยวนจื่ออี๋อดครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสจิ้งอวิ๋นขึ้นมาไม่ได้
“อาอี๋ เจ้าเป็นอันใดไป” อาเฉาเห็นสีหน้าไม่สบายใจของสหายก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
นางส่ายหน้า “ข้าเพียงคิดถึงอนาคตเท่านั้น”
“อนาคต?” เด็กทั้งสามคนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก ดูท่าคำศัพท์ที่นางใช้จะยากเกินไป
“ประมาณว่าเมื่อเราโตขึ้นจะเป็นเช่นไร” หยวนจื่ออี๋อธิบายง่ายๆ
“ข้าจะไปสอบเคอจวี่[3] ข้าจะเป็นจองั่ง!” ต้าหงยืดอกพูดออกมาอย่างภูมิใจ
“จอหงวงต่างหาก” อาเฉารีบแก้
คราวนี้หยวนจื่ออี๋หลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ รีบจัดการแก้ไขคำศัพท์ให้ถูกต้อง “จอหงวน”
“ใช่ๆ จอหงวน” ต้าหงแก้มแดงก่ำด้วยความขัดเขิน เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากสหายรอบข้าง
“ต้าหง หมายความว่าเจ้าจะต้องไปร่ำเรียนที่เมืองหลวงใช่หรือไม่” เสี่ยวจูถามด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งขึ้น
เด็กชายร่างอ้วนเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน “ต้องไปถึงเมืองหลวงเชียวรึ”
อาเฉากับเสี่ยวจูพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะพากันเบือนสายตามาที่นาง “ใช่ไหมอาอี๋”
“เป็นจอหงวนต้องเข้ารับราชการที่เมืองหลวง” หยวนจื่ออี๋เอ่ยพลางเบือนสายตามองกลุ่มก้อนเมฆาที่เคลื่อนไหวเร็วยิ่งขึ้น ดูท่ากำลังลมเพิ่มขึ้นแล้ว เหมาะสมที่พวกนางจะไปเล่นว่าวกันเสียที “ตำแหน่งบัณฑิตอันดับหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องเป็นขุนนางระดับกลางขึ้นไป เผลอๆ อาจจะได้ทำงานใกล้ชิดเหล่าเสนาฯ กับฮ่องเต้”
“ฟังดูยิ่งใหญ่มาก” เสี่ยวจูนัยน์ตาพราวระยิบอย่างตื่นเต้น “ข้าจะตามต้าหงไปเมืองหลวงด้วย!”
พอต้าหงกับเสี่ยวจูทำท่าจะไปเมืองหลวง อาเฉาก็ร้อนรนรีบเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง “เช่นนั้นข้า...ข้าก็จะไปด้วย!”
เด็กน้อยทั้งสามหันมาพยักหน้าให้กันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนที่พวกเขาจะพากันหันมาจับจ้องร่างเล็กที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาดังเช่นคนอื่นๆ
“อาอี๋ เจ้าจะไปเมืองหลวงด้วยกันหรือไม่”
ผู้ที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าอย่างใจลอยเบือนสายตากลับมามองพวกเขา “ข้าไม่ไปหรอก”
นางไม่อยากไปเมืองหลวง ไม่อยากไปเจอความวุ่นวาย นางปรารถนาชีวิตที่สุขสงบและเรียบง่าย ได้อยู่กับบิดาไปเรื่อยๆ เช่นนี้ก็เพียงพอ
เสี่ยวจู อาเฉา และต้าหงหันมามองหน้ากัน พวกเขาอ้าปากเตรียมจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง ทว่าหยวนจื่ออี๋กลับไม่สนใจ เนื่องจากสายตาเหลือบไปเห็นสีขาวของสัตว์ขนฟูตัวใหญ่ถัดจากพวกนางไปประมาณหนึ่งลี้[4] กำลังจับจ้องธารน้ำใสตรงหน้านิ่งไม่ขยับเขยื้อน
หมาป่ารึ?
เดิมทีนางคิดว่าเป็นหมาป่าจริงๆ จนกระทั่งสังเกตเห็นพวงหางฟูฟองโดดเด่นกระดิกไปมานั่นแหละ จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นจิ้งจอกเสียมากกว่า
[1] เทียนซือขับพิษ (****) ตามความเชื่อของศาสนาเต๋า จางเทียนซือ (***) เป็นเทพที่มีฐานะเป็นหนึ่งในสี่เทพพิทักษ์องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ที่มีตำแหน่งไม่สูงนัก แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปเชื่อว่าเป็นเทพที่มีอิทธิฤทธิ์สูงส่ง เล่าขานกันว่าเป็นทายาทรุ่นที่แปดของจางเหลียง ขุนศึกคู่บัลลังก์ของพระเจ้าฮั่นเกาจู บำเพ็ญตนตามคัมภีร์เต๋า สำเร็จมรรคผลกลายเป็นเซียน ชาวจีนมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับจางเทียนซือสำแดงฤทธิ์เดช ช่วยปราบผี ปราบมาร และโรคร้าย ขจัดเภทภัยต่างๆ แม้จางเทียนซือจะพำนักอยู่บนโลกมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าปุถุชนจะอัญเชิญมาได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการวาดภาพ ‘เทียนซือขับพิษ’ หรือ ‘เทียนซือไล่เสนียด’ มากราบไหว้บูชา และใช้เป็นยันต์กันสารพัดเภทภัย
[2] ชิงถิง (**) หมายถึง แมลงปอ
[3] เคอจวี่ (**) หมายถึง ระบบการสอบแบบส่วนกลางที่ทางราชสำนักจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกข้าราชการ
[4] 1 ลี้ มีค่าประมาณ 500 เมตร