เด็กหลงยุค [ต้น]

1829 Words
หนึ่ง เด็กหลงยุค นางมักจะเห็นภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในยามเช้าตรู่ ทั้งภาพและเสียงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป คล้ายกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่กระจัดกระจายและไม่ปะติดปะต่อจนไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนนัก เดิมทีนางคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนที่จินตนาการขึ้นเอง ต่อมามีหลวงจีนรูปหนึ่งผ่านมาแล้วบอกว่ามันคือ ‘การระลึกชาติ’ นางไม่ใช่คนในยุคนี้ แต่มาจากยุคที่ต่างออกไป ...เป็นยุคที่นางนิยมอยู่บ้านมากกว่าออกไปเดินชมธรรมชาติสีเขียวด้านนอกซึ่งลดน้อยลงทุกวัน ...เป็นยุคที่นางชอบกินอาหารกึ่งสำเร็จรูปมากกว่าเข้าครัวลงมือทำเองให้เสียเวลา ...เป็นยุคที่นางง่วนอยู่กับการกดโทรศัพท์มือถือมากกว่าสุงสิงกับใคร หยวนจื่ออี๋คิดพลางมองภาพของนกอินทรีที่บินผ่านศีรษะไปอย่างเหม่อลอย ขาสั้นๆ ทั้งสองซึ่งห้อยอยู่ตรงระเบียงแกว่งไปมา นัยน์ตาสีชาดูเศร้าหมองขัดใจ นิ้วมืออ้วนป้อมขยุกขยิกไปมาอย่างผิดวิสัยของเด็กวัยห้าขวบคนอื่นๆ แต่สิ่งที่นางนึกไม่ออกกลับเป็นเหตุการณ์ที่ว่านางเคยเป็นใครและตายได้อย่างไรนี่สิ... นางอาจจะเคยเป็นคนยิ่งใหญ่เทียบเท่าประธานาธิบดีหรือว่ายาจกข้างถนนก็ได้ เจ้าตัวคิดไปคิดมาก็เริ่มขมวดคิ้วยุ่ง เฮ้อ...สิ่งสำคัญขนาดนี้กลับนึกไม่ออก เครียดจนอยากกินช็อกโกแลตจังเลย “อาอี๋! พวกข้าจะไปถ้ำค้างคาว เจ้าสนใจไปด้วยกันหรือไม่” ผู้ถูกเรียกที่กำลังเหม่อลอยถึงของหวานอันโปรดปรานดึงสายตากลับมายังภาพทุ่งหญ้าเบื้องหน้า ครั้นเห็นเงาร่างของเด็กสามสี่คนในวัยเดียวกันโบกมือมาก็ส่งเสียงโต้ตอบกลับไป “จวนจะมืดแล้ว พวกเจ้าจะไปถ้ำค้างคาวทำไม” “อาเฉาบอกว่าก่อนหน้านี้เจอค้างคาวสีม่วงบินโฉบผ่านหน้าบ้าน พวกเราก็เลยจะไปดูให้เห็นกับตา” เด็กชายตัวอ้วนซึ่งยกตัวเป็นลูกพี่ในกลุ่มโอ้อวดขณะที่พยักพเยิดไปทางเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ด้านข้าง หยวนจื่ออี๋เลิกคิ้ว “ค้างคาวสีม่วง?” “ใช่ๆ เป็นค้างคาวสีม่วงจริงๆ” อาเฉาที่อยู่ข้างๆ ยืนกรานด้วยเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจนเนื่องจากฟันน้ำนมเพิ่งหลุดไป ความจริงเรื่องค้างคาวสีม่วงก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่นางกลับมีลางสังหรณ์ว่าเวลานี้ควรจะอยู่บ้านมากกว่าออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก สายลมเย็นสบายพัดพาเอากลิ่นหอมของต้นหญ้าเข้ามาถึงระเบียงที่นางนั่งอยู่ บานประตูที่เปิดออกส่งผลให้มันพัดผ่านเข้าไปถึงตัวเรือนด้านในจนส่งเสียงหวีดหวิว “ข้าต้องรอท่านพ่อกลับมาบ้าน” หยวนจื่ออี๋ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด “ถ้าหากว่าเลื่อนเป็นพรุ่งนี้เช้าได้หรือไม่ ข้าอยากไปถ้ำค้างคาวกับพวกเจ้าด้วย” ความเห็นของเด็กหญิงในชุดสีน้ำตาลทึมส่งผลให้คนทั้งหลายหันมามองหน้ากันอย่างปรึกษาหารือ ใจหนึ่งก็อยากไป อีกใจหนึ่งก็เริ่มลังเล ถึงปากพวกเขาจะเรียกต้าหงเด็กน้อยร่างอ้วนว่าเป็นพี่ใหญ่ ทว่าที่ผ่านมาหยวนจื่ออี๋มักจะช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากอันตรายหรือการโดนตำหนิจากผู้ใหญ่ทุกครั้ง หยวนจื่ออี๋แลเห็นความลังเลในแววตาพวกเขา ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับยกมือกอดอก นัยน์ตาสีชาดูซุกซนยิ่งนัก “เสี่ยวจู เห็นฮูหยินฟางกล่าวว่าเย็นนี้มีไก่ขอทานของโปรดเจ้ามิใช่หรือ” เด็กชายเจ้าของชื่อดวงตาเบิกกว้างก่อนจะน้ำลายไหล “ข้า...ข้าอยู่บ้านดีกว่า ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยไปพร้อมกับอาอี๋” พอคนหนึ่งเปลี่ยนใจ คนที่เหลือก็พากันคล้อยตามทันที ต้าหงยืดอกขณะที่แสดงท่าทีทวงตำแหน่งพี่ใหญ่ของกลุ่มกลับคืนมา “เช่นนั้นพรุ่งนี้ยามพระอาทิตย์ขึ้น ให้ทุกคนมารวมตัวกันหน้าบ้านข้า” เด็กชายหญิงที่รายล้อมต่างพากันพยักหน้าหงึกหงักแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว หยวนจื่ออี๋ก็ทิ้งตัวลงนั่งลงบนระเบียงตามเดิมพร้อมกับแกว่งเท้าต่อ ท้องฟ้าบัดนี้สาดแสงหลากสี ผสมผสานระหว่างสีม่วง ส้ม และชมพู ก้อนเมฆจับกลุ่มก้อนคล้ายกับเกวียนเทียมวัวเล่มใหญ่ กระตุ้นให้รู้สึกถึงการผจญภัยในดินแดนอันไกลโพ้น บ้านของนางมีตัวเรือนเพียงหลังเดียว ใกล้กับธารน้ำขนาดใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นภูเขาใหญ่น้อยไกลลิบๆ หมู่บ้านของนางอยู่เขตรอบนอกแคว้นเฉาที่ค่อนข้างห่างไกล ยามตะวันตกดินจะเงียบสงัดจนได้ยินเสียงกระพือปีกของฝูงแมลงที่อยู่นอกเรือน ทว่าเมื่อถึงฤดูร้อนจะมีฝูงอิงหั่วฉง[1] บินว่อนบริเวณธารน้ำ ท่านพ่อจะอนุญาตให้นางออกไปกับเด็กข้างบ้านที่วัยใกล้เคียงกันเพื่อไปดูแสงสีเหลืองนวลเปล่งระยิบระยับในห้วงราตรี นับว่าเป็นความงดงามที่หาได้ยากยิ่งในโลกเดิมที่จากมา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้อดรู้สึกถึงอันตรายจากสัตว์ป่าทั้งหลายที่รายล้อมอยู่ไม่ได้ ว่ากันว่าเมืองหลวงแคว้นเฉาค่อนข้างเจริญ โดยเฉพาะการแพทย์เนื่องจากมีสำนักแพทย์อันดับหนึ่งชื่อว่าสำนักหัตถ์สวรรค์ตั้งอยู่บนยอดเขาพ้นโลกา ระยะทางจากที่นี่ไปยังที่นั่นห่างไกลกันประมาณเขาสองลูก แต่ถึงกระนั้นก็มักจะมีแพทย์ฝึกหัดแวะเวียนมารักษาผู้คนโดยไม่คิดเงินอยู่ทุกปี อ้างว่าเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องทำให้ได้เพื่อสำเร็จเป็นแพทย์ขั้นสูงสุด ความจริงนางมีแผนอยากเข้าไปศึกษาเพื่อเป็นแพทย์อยู่เช่นกัน แต่ถ้าหากนางทำเช่นนั้นจริงๆ ก็หมายความว่าบิดาของนางจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ...แล้วนางจะปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวได้อย่างไร? “อี้เอ๋อร์[2]” เสียงเรียกอันคุ้นเคยจากทางด้านหลังเรียกให้ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มหันมองสบ ครั้นเห็นบิดากับบุรุษแปลกหน้า ก็เลิกคิ้วแล้วรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นับตั้งแต่เสียมารดาไป ท่านพ่อของนางก็เป็นพ่อหม้ายลูกเดี่ยว ก่อนหน้านี้มักจะมีสหายของเขามาเยี่ยมเยือนที่บ้านบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีชาจับจ้องดวงหน้าของบุรุษร่างสูงโปร่ง แม้ใบหน้าเสมือนชายวัยสี่สิบต้นๆ นั้นไม่สะดุดตา ทว่าแววตาสุขุมแผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมาอย่างเต็มเปี่ยม อาภรณ์ที่เขาสวมใส่เป็นสีเทาอ่อนสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าที่ดูทึมกว่าเล็กน้อย หากสิ่งที่ชัดเจนที่สุดเห็นทีจะเป็นเรือนผมสีเหล้าองุ่นแซมขาวที่เกล้าสูงเป็นทรงหางม้าแต่ก็ยาวจนถึงข้อเท้า ผู้อาวุโสท่านนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากสหายคนอื่นของผู้เป็นบิดา ลึกลับและห่างเหิน แต่ไม่ใช่ในแง่ที่เลวร้าย หยวนจื่ออี๋คิดพลางย่อกายทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “ข้า...หยวนจื่ออี๋ คารวะท่านผู้อาวุโส” แขกผู้มาเยือนจับจ้องเด็กน้อยอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาราบเรียบปราศจากรอยกระเพื่อมไหว สีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับว่าได้ละทิ้งซึ่งอารมณ์ทั้งมวล หากจะกล่าวว่าเย็นชาอาจจะยังไม่ถูก...ในเมื่อสัญชาตญาณบอกกับนางว่าเขาได้ซุกซ่อนความเมตตาเอาไว้ภายในอย่างเต็มเปี่ยม “ข้า...จิ้งอวิ๋น” เสียงทุ้มสุขุมตอบกลับขณะที่เจ้าตัวเบือนสายตาไปยังหยวนเสียน “ที่นี่มีสตรีอยู่ด้วย หากจะให้ข้าพักแรมคงจะไม่เหมาะกระมัง” หยวนเสียนเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีคล้ายจะกล่าวลาก็รีบประสานมือไว้เบื้องหน้า “ท่านอาวุโสจิ้ง อีกไม่นานฟ้าก็จะมืดแล้ว ถือเสียว่าเปิดโอกาสให้ข้าได้ตอบแทนท่านที่ช่วยเหลือ...” จิ้งอวิ๋นสบตาหยวนเสียน ครั้นเห็นประกายแรงกล้าในแววตาของเขาก็ลอบถอนหายใจแผ่วเบา “แล้วแต่ท่านเถิด” หยวนจื่ออี๋จับจ้องกิริยาของแขกผู้นี้มาโดยตลอด นางมิใช่คนชอบเสวนาพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ชอบปล่อยสิ่งใดให้คลาดสายตา และแล้วร่างเล็กก็ถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อเจ้าของร่างสูงโปร่งหันมาสบตานางเป็นลำดับถัดมา “เจ้าเกิดในคืนแรมสิบห้าค่ำเดือนยี่ใช่หรือไม่” “คือ...” นางอึกอักแล้วเบือนหน้าไปยังบิดา จู่ๆ มีคนมาทักถามเรื่องวันเกิด มันให้ความรู้สึกประหลาดมิใช่น้อย ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านเคยเล่าให้ฟังถึงผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนตบะอย่างแรงกล้าแล้วจะมีญาณหยั่งรู้สรรพสิ่ง มีศาสตร์ทำนายตามดวงดาราบนฟากฟ้า จับยามคำนวณโชคชะตาที่เคลื่อนไหวทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน เดิมทีหยวนจื่ออี๋มิค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้นัก แต่เมื่อมาเจอเรื่องเช่นนี้กับตัวก็ทำเอาขนลุกขนผองได้เช่นกัน “ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอี้เอ๋อร์กำเนิดในคืนแรมสิบห้าค่ำเดือนยี่” ครานี้หยวนเสียนเป็นฝ่ายถามเสียเอง จิ้งอวิ๋นหลุบสายตาเล็กน้อยก่อนจะแบมือพร้อมกับกวักเรียกนางให้เข้ามาใกล้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องประหลาดใจเมื่อร่างเล็กป้อมสาวเท้าเร็วเข้ามาหา แววตานิ่งสงบไร้ประกายความหวาดกลัวใดๆ สบตาเขาก่อนจะเบือนไปยังหยวนเสียน “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้าเคยพบท่านผู้อาวุโสจิ้งมาก่อน และได้บอกกล่าวเรื่องวันเกิดเจ้าค่ะ” นางอธิบาย ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจ ในเมื่อบุตรสาวกล่าวเช่นนี้เขาก็เบาใจ ว่าผู้ที่ช่วยเหลือเขาจากการเป็นลมหมดสติไปเมื่อยามสายมิได้น่ากลัวดังที่คิด หยวนเสียนเป็นบัณฑิตผู้ปลีกตัวออกจากเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่เสียฮูหยินอันเป็นที่รักก็อุทิศชีวิตให้แก่การสอนหนังสือตามโรงทานและวัดใกล้หมู่บ้าน เงินทองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็เกิดจากการที่ชาวบ้านมอบให้เป็นสินน้ำใจด้วยกันทั้งสิ้น [1] อิงหั่วฉง (***) แปลว่า หิงห้อย [2] อี้เอ๋อร์ ความจริงแล้วเป็นคำว่า ‘อี๋’ และ ‘เอ๋อร์’ ใช้ต่อกัน แต่เนื่องจากอี๋และเอ๋อร์เป็นเสียงสองด้วยกันทั้งคู่ ตามหลักการออกเสียงจึงต้องเปลี่ยนเสียงตัวหน้าเป็นเสียงสี่ กลายเป็น อี้เอ๋อร์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD