หยวนจื่ออี๋ลอบกลืนน้ำลาย กายแข็งทื่อเมื่อนัยน์ตาสีชาสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของผู้ที่มาเยือนพร้อมกับฮูหยินฟาง
หยวนถังกับหยวนซูมองไปที่เสี่ยวจูก่อนจะเบือนสายตามายังนางในเวลาต่อมา “เป็นบุตรชาย?”
ฮูหยินฟางที่เดินตามหลังมาอ้าปากเตรียมจะแก้ให้ว่านางเป็นสตรี ทว่าเด็กหญิงรีบขมวดคิ้วพลางทำตาลอกแลกเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้สูงวัยกว่าได้รู้ เป็นเพราะหน้าตาของนางมิได้หวานมากแถมยังตัวสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน ดังนั้นจึงทำเนียนเป็นเด็กผู้ชายได้อยู่
ทั้งสองคนนี้ไม่น่าไว้ใจ... ดังนั้นให้พวกเขาเข้าใจไปว่านางเป็นผู้ชายน่าจะดีกว่า
ครั้นฮูหยินวัยสาวเห็นสีหน้าของเด็กน้อยก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงเลือกที่จะไม่ตอบแต่กวักมือเรียกบุตรชาย ครั้นกระซิบกระซาบกันเสร็จเรียบร้อยแล้วเสี่ยวจูก็วิ่งออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อน คาดว่าน่าจะไปตามท่านพ่อของนางกลับมา
แล้วในระหว่างที่รอ... นางควรจะทำเช่นไรดีเล่า?
หยวนจื่ออี๋มองชายหนุ่มทั้งสองอย่างประเมิน ทันใดนั้นหยวนซูก็ทำลายความเงียบอันแสนสั้นขึ้นมา “เจ้าชื่ออะไร”
เด็กหญิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ท่านพ่อสอนว่าข้าไม่ควรเสวนากับคนแปลกหน้า”
“หืม” หยวนถังหัวเราะในลำคอพลางเอาศอกกระทุ้งลูกพี่ลูกน้องข้างกายเป็นเชิงว่าเขาจัดการเอง “เด็กน้อย ข้ามีนามว่าหยวนถัง ส่วนนี่คือหยวนซู ในเมื่อรู้ชื่อแซ่ก็มิใช่คนแปลกหน้า หรือพ่อเจ้ามิได้สั่งสอนว่าให้มีมารยาทต่อผู้ที่อาวุโสกว่า”
ร่างเล็กสีหน้าบึ้งตึง รู้สึกไม่ชอบหน้าหยวนถังขึ้นมาตะหงิดๆ “หยวนจื่ออี๋”
“จื่ออี๋...” หยวนซูพึมพำ “ใช่จื่อที่แปลว่าพิเศษ อี๋ที่แปลว่าความสุขหรือไม่”
หยวนจื่ออี๋พยักหน้าน้อยๆ ยอมรับว่าทั้งสองดูเป็นคนมีการศึกษา แถมยังแซ่เดียวกับนาง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นญาติของท่านพ่อจากเมืองหลวง
ว่าแต่พวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่นะ...
“ท่านอาหกสมกับที่เป็นท่านอาหก เป็นชื่อที่ไพเราะมาก” หยวนซูฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะเบือนสายตาไปยังหยวนถังอย่างขอความคิดเห็น
“ข้าคิดว่าชื่อมันดูนุ่มนิ่มเหมือนกับสตรีเสียมากกว่า”
หยวนจื่ออี๋มิได้นำพาต่อคำที่ดูเหมือนจะตั้งใจสบประมาทดังที่เด็กผู้ชายควรจะเป็น นางเพียงแค่จับจ้องพวกเขานิ่งๆ เมื่อแน่ใจว่าคงไม่ใช่คนป่าเถื่อนชอบใช้กำลังหรือพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็เบือนสายตากลับไปยังฮูหยินฟางอีกครั้ง
“ฮูหยินฟาง คงต้องรบกวนแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ ในเมื่อเป็นแขกของอี้เอ๋อร์[1] ก็เชิญตามสบายเถิด”
ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวจบก็ขอตัวออกไปรอที่ห้องอื่น ปล่อยให้หยวนจื่ออี๋เผชิญหน้ากับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ญาติ’ ร่วมสายเลือดตามลำพัง
พวกเขาต่างเรียกบิดาของนางว่า ‘ท่านอาหก’ หมายความว่าพวกเขาเป็นรุ่นเดียวกับนาง
หยวนจื่ออี๋ครุ่นคิดในใจขณะที่ตีสีหน้าเรียบเฉยยามเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จับจ้องมาราวกับกำลังประเมินราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง
เด็กน้อยแม้จะมีความทรงจำจากชาติเดิมอยู่บ้าง หากตั้งแต่เกิดมานางก็มิเคยพานพบญาติที่ไหนนอกเสียจากบิดาบังเกิดเกล้า ด้วยเหตุนี้จึงอดรู้สึกเกร็งและประหม่าไม่ได้
“ลักษณะดี...” หยวนซูหันไปกระซิบกระซาบชายหนุ่มข้างกาย ซึ่งมันก็ดังพอที่เด็กน้อยจะได้ยิน “เสียดายที่หน้าผากกว้างไปหน่อย”
หยวนจื่ออี๋รีบยกมือขึ้นมาดึงไรผมลงมาปิดหน้าผากอย่างร้อนตัว ครั้นผู้ใหญ่ทั้งสองเห็นอาการดังกล่าวก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ผิดกับเด็กน้อยที่ใบหน้างอง้ำ
“เชิญท่านทั้งสองนั่งลงก่อน” นางกล่าวเสียงเรียบขณะที่กระเถิบตัวเปิดทางให้พวกเขา
“ขอบใจ” หยวนถังเอ่ยพลางกวาดสายตามองดูรอบๆ บ้านสกุลฟางค่อนข้างคับแคบและเก่า ในขณะที่พวกเขากำลังสำรวจ เด็กหญิงเองก็กำลังพิเคราะห์พวกเขาอยู่เช่นกัน แม้สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสองจะราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ดั่งผู้ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี หากการก้าวเดินซึ่งดูเหมือนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นมาน้อยๆ ก็บ่งบอกได้ว่าพวกเขารังเกียจว่าสถานที่แห่งนี้สกปรกมากเพียงใด
ญาติของนางคงเป็นบุรุษเท้านิ่มเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกระมัง...
“ระวังจะปวดข้อเท้าเอานะ”
หยวนจื่ออี๋กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่ก็ได้ผลเมื่อหยวนถังและหยวนซูต่างพากันวางเท้าลงบนพื้นอย่างเต็มเท้า บุรุษทั้งสองหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำเพียงเล็กน้อยจะถูกเด็กน้อยคนหนึ่งสังเกตเห็น
ต่อไปภายภาคหน้า...เด็กคนนี้อาจจะมีประโยชน์กับสกุลหยวน
“หยวนจื่ออี๋...” หยวนถังยังมิทันได้เอ่ยปากบอกสิ่งที่ต้องการกับคนอายุน้อยกว่า บานประตูก็ถูกกระชากออกอย่างแรงพร้อมกับร่างอันคุ้นเคยซึ่งเปียกปอนไปครึ่งตัว ครั้นเด็กน้อยมองเลยออกไปจึงพบว่าด้านนอกนั้นฝนตก
ฝนตกติดต่อกันสองวันเยี่ยงนี้...หรือว่าจะย่างเข้าฤดูกู่หยู่[2] เสียแล้ว
“ท่านพ่อ” เด็กน้อยเผยสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นบิดา
“อี้เอ๋อร์” น้ำเสียงของหยวนเสียนยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย ทว่าสีหน้าและแววตากลับเย็นชากว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด “ไปรอข้างนอก”
หยวนจื่ออี๋มิเคยถูกหยวนเสียนกล่าวกับตนเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกจุกแน่นในอกส่งผลให้ร่างเล็กนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนที่ภาพบางอย่างที่เจือจางจะผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“ไปให้พ้นนะยัยตัวประหลาด!”
“เธอบอกว่าเธอมองเห็นพวกสัตว์ประหลาดอย่างงั้นเหรอ”
“ออกไป! ออกไปจากโรงเรียนนี้ซะ!”
“อี้เอ๋อร์” ครั้นอาจารย์หนุ่มเห็นบุตรสาวนิ่งไปก็เพิ่งรู้ตัว ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มแผ่วเบาที่มุมปากอย่างต้องการปลอบประโลม “ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกนะ”
หยวนจื่ออี๋ได้ฟังเช่นนั้นก็สลัดภาพความทรงจำในอดีตชาติทิ้งไป นางฝืนยิ้มแม้ใบหน้าจะยังซีดเซียว หวังจะให้ผู้เป็นพ่อสบายใจขึ้น “เช่นนั้นอี้เอ๋อร์จะไปรอด้านนอก”
ปึง!
เสียงบานประตูที่ปิดลงส่งผลให้ร่างเล็กรู้สึกถึงความชาที่ลามจากปลายเท้ามาสู่ช่องอก เสี่ยวจูเองก็ยืนรออยู่ด้านนอก นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เรือนหลังนี้มีกันสาดค่อนข้างใหญ่ ทั้งนางกับสหายจึงไม่เปียกฝน
หลังจากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออกมาอีกครั้ง หยวนจื่ออี๋หันขวับไปมองด้วยความคาดหวัง ก่อนที่มันจะถูกทำลายลงเมื่อพบว่าผู้ที่ออกมาหาใช่บิดาของตนไม่ แต่เป็นฮูหยินฟางต่างหาก
ฮูหยินวัยสาวเห็นว่าบรรยากาศภายในเรือนค่อนข้างเคร่งเครียดจึงหวังจะออกมาสูดอากาศสดชื่นทางด้านนอก ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กหญิงซึ่งมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
“อี้เอ๋อร์” นางวางมือลงบนไหล่คนตัวเล็ก “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
หยวนจื่ออี๋ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
การที่ญาติมาเยี่ยมเยือนกันไม่น่าจะถือเป็นเรื่องใหญ่... แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงมิอาจสงบใจลงได้เลย
เด็กหญิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มดังลอดผ่านประตูออกมาโดยมิได้ตั้งใจ
“ท่านอาหก พวกเราได้ข่าวมาว่าสตรีผู้นั้น เอ่อ... ฮูหยินของท่านจากโลกนี้ไปแล้ว”
“แต่ท่านมีบุตรชายร่วมกันกับนาง ไม่แน่ว่าถ้าท่านอาหกพาเขากลับไปด้วย ท่านปู่อาจจะยอมรับท่านกลับเข้าตระกูลอีกครั้ง”
“คิดดูสิ ทั้งท่านและจื่ออี๋จะมีชีวิตที่สุขสบายเพียงไร”
ในระหว่างที่เสียงของหยวนถังกับหยวนซูดังสลับกันไปมาคล้ายกับกำลังเกลี้ยกล่อมและหว่านล้อม หยวนจื่ออี๋กลับไม่ได้ยินเสียงของบิดาตอบโต้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นนางเสียอีกที่กลืนก้อนสะอื้นลงไปในลำคอ ที่แท้ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดนางก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านพ่อถูกไล่ออกจากตระกูล ต้องระหกระเหินออกมาอยู่ในที่กันดารเช่นนี้
และที่สำคัญ...นางมิใช่บุตรชาย แต่เป็นบุตรสาว
“ท่านอาหก ท่านอย่าลืมสิว่าท่านเองก็มีโรคประจำตัว ที่นี่การแพทย์มิได้เพียบพร้อมเหมือนกับเมืองหลวง หากท่านดื้อดึงอยู่เช่นนี้แล้วสุขภาพของท่านเล่า”
หยวนจื่ออี๋ชะงักเป็นครั้งที่สอง
‘ท่านพ่อมีโรคประจำตัว?’
ผู้คิดนิ่งงันประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะ สายตาอันว่างเปล่ามองตามแผ่นหลังของฮูหยินวัยสาวและเสี่ยวจู ในหัวพลันขาวโพลนไปหมด
นางเป็นเพียงแค่เด็กห้าขวบคนหนึ่ง ถ้าท่านพ่อล้มป่วย... นางจะสามารถหาเงินทองมารักษาได้อย่างไร
ฮึ! อย่าว่าแต่การรักษาเลย เพียงแค่เขาล้มลงนางก็ไม่มีปัญญาหามเขาขึ้นเตียงเลยด้วยซ้ำ!
ความเป็นจริงที่กระแทกเข้าใส่อย่างจังส่งผลให้ขอบตาของเด็กน้อยร้อนผ่าว นางยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าขณะที่กะพริบตาถี่แล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก ละอองฝนเย็นชื้นที่ถูกสายลมพัดเข้ามาสัมผัสผิวหนังนั้นมิอาจเทียบได้กับหัวใจที่เย็นเฉียบของตนเอง
[1] คำว่า เอ๋อร์ (*) ที่เติมอยู่ด้านหลังชื่อเป็นวิธีการเรียกที่สนิทสนม มักจะใช้กับเด็กหรือลูกหลานที่เอ็นดู ส่วนใหญ่มักจะใช้กับเด็กผู้หญิง แต่ก็มีหลายครอบครัวที่ใช้เรียกบุตรชายในวัยเด็ก
[2] กู่หยู่ คือหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูกาลของจีนโบราณ หมายถึง ช่วงที่ฝนตกช่วยให้ธัญญาหารเติบโตก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูร้อน