ปีศาจ [ต้น]

1774 Words
ห้า ปีศาจ “หยาดฝนหยดแรก แทรกผ่านผืนฟ้า หนึ่งชายชรา หวนคิดถึงถิ่น หยาดฝนหยดสอง พร่องผ่านผืนดิน น้ำตาหลั่งริน มิอาจหวนคืน” เสียงเล็กๆ เปล่งออกมาแข่งกับเสียงหยาดฝนที่ตกกระทบลงบนพื้น หยวนจื่ออี๋เหม่อมองเมฆาที่เทาขุ่นเรื่อยไปยังผืนป่าโปร่งด้านนอกด้วยแววตาว่างเปล่า หากท่านพ่อเลือกที่จะกลับไป นางจะทำเช่นไร? หากท่านพ่อเลือกที่จะไม่กลับไป นางจะทำเช่นไร? ในระหว่างที่ครุ่นคิดอย่างใจลอยอยู่นั่นเอง ดวงตาสีชากลมโตก็สังเกตเห็นก้อนกระจุกสีขาวก้อนหนึ่งที่อิงแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ครั้นหรี่ตาลองจับจ้องให้ดีก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด หรือว่าจะเป็นจิ้งจอกตัวใหญ่เท่าหมาป่าที่นางเห็นอยู่ริมธารเมื่อคราก่อน? จิ้งจอกหิมะสีขาวสะอาดกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ท่ามกลางพิรุณที่โปรยปราย ดวงตาสีเงินของมันราวกับโคมไฟเรืองรอง ฝ่าละอองฝนที่ลอยฟุ้งคล้ายรับรู้ว่าตนเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ น่าแปลกที่หยวนจื่ออี๋รู้สึกราวกับว่ามันสามารถอ่านใจนางได้... นางกำลังกลัวและสับสนกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เด็กน้อยเค้นยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก ก่อนหน้านี้หลั่งเลือดจนประสาทกินไปวันหนึ่งแล้ว พอมาถึงจุดนี้นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตนเองมีสิ่งใดผิดปกติไปจากเด็กคนอื่นๆ “อี้เอ๋อร์!” เสียงร้องเรียกของฮูหยินฟางไร้ความหมาย กว่าหยวนจื่ออี๋จะรู้ตัวอีกครั้งก็เป็นยามที่มือเล็กป้อมยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้าหาสัตว์ต่างถิ่นที่งดงามตัวนั้น ร่างเล็กในเสื้อผ้าของเด็กชายเปียกปอนไปทั้งตัว เรือนผมเปียกลู่ใบหน้า สองขามุ่งตรงไปยังจิ้งจอกตัวใหญ่ยักษ์ราวกับต้องมนตร์สะกด เสี่ยวจูเห็นว่าสหายกำลังจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งอันตรายก็เตรียมตัวจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไปคว้า ทว่ามารดาของตนยึดไหล่เอาไว้ จะว่านางขี้ขลาดหรือเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมปล่อยให้บุตรชายเพียงคนเดียวต้องออกไปเสี่ยงตามหยวนจื่ออี๋เป็นอันขาด คนที่เปียกฝนรู้สึกร่างเบาหวิวราวกับขนนก เท้าทั้งสองคล้ายกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ นางก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน ฮูหยินฟางกับเสี่ยวจูมองดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะพากันอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ จิ้งจอกตัวนั้นยืนขึ้นเต็มความสูง ร่างขนฟูสีขาวตัวใหญ่ยักษ์ยืนประจันหน้ากับเด็กน้อย พวงหางสีขาวสะบัดแรงหนึ่งครั้งก่อนที่มันจะทำในสิ่งที่ผู้อื่นคาดไม่ถึง หยวนจื่ออี๋ยกมือขึ้นมาลูบความเปียกชุ่มออกจากใบหน้า หากเพียงไม่นานก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ครั้นดวงหน้ากลมแหงนมองไปเหนือศีรษะ ก็ถึงกับกะพริบตาถี่เมื่อเห็นพวงหางขนาดเท่าลำตัวของนางทำหน้าที่คอยกันฝนมิให้โดนตัวของนางได้อีก เจ้าจิ้งจอกตัวนี้... กันฝนให้นางเช่นนั้นหรือ? ความประหลาดใจวาดผ่านดวงตาสีชา ต่อมาจึงได้หายไปเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นใบหูสามเหลี่ยมของสัตว์ร่างใหญ่ที่ตั้งสูงขึ้น นัยน์ตาสีเงินดั่งแก้วเจียระไนตวัดมองไปยังผืนฟ้าทางด้านหลัง หยวนจื่ออี๋รีบหันไปยังทิศทางดังกล่าว ก่อนที่ใบหน้าจะถอดสีเมื่อสังเกตเห็นฝูงสัตว์ขนาดเล็กกำลังบินฝ่าสายฝนทิศทางตรงมายังนางอย่างบ้าคลั่ง! เสียงร้องแหลมแสบแก้วหูและเสียงกระพือปีกของอะไรบางอย่าง ส่งผลให้หยวนจื่ออี๋ยกมือขึ้นมาปิดใบหู มันคือฝูงค้างคาวสีม่วง! “อี้เอ๋อร์” ฮูหยินฟางตะโกนเรียกเด็กหญิงที่ยังอยู่ในป่าโปร่งอย่างร้อนรน “อี้เอ๋อร์! รีบกลับเข้าบ้านเร็วเข้า!” “อาอี๋!” เสี่ยวจูสลัดตนเองให้หลุดออกจากพันธนาการของมารดา ก่อนจะรีบวิ่งตรงเข้ามาหาหยวนจื่ออี๋โดยไม่สนใจเลยว่ากำลังนำตนเองเข้ามาขวางระหว่างฝูงค้างคาวกับนาง! ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางมิอาจครุ่นคิดได้ทัน ฝูงค้างคาวสีประหลาดเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างดั่งเกลียวพายุหมุน หยวนจื่ออี๋พุ่งตรงเข้าไปหาสหายตามสัญชาตญาณ “เสี่ยวจู!” หยวนจื่ออี๋คิดว่านางเคลื่อนไหวเร็วแล้ว ทว่าสัตว์ตัวขนข้างกายกลับว่องไวยิ่งกว่า เด็กน้อยในชุดเด็กผู้ชายรู้สึกเหมือนขาลอยขึ้นมาจากพื้น แม้ไม่อาจหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพที่น่าหวาดเสียวเพียงใด นี่นางถูกจิ้งจอกคาบคอเสื้อดึงให้ตัวลอยเข้าให้แล้ว! ผู้คิดแทบจะแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งที่เปียกอยู่บนใบหน้าตนเป็นเหงื่อ เม็ดฝน หรือว่าน้ำลายของสัตว์ใหญ่ นางเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นระส่ำอย่างหวาดหวั่น ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงเสี่ยวจูอยู่จึงตะโกนออกไปสุดเสียง “เสี่ยวจู หนีไป!” เสี่ยวจูคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาพาตนเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเพียงใดก็พลันตัวสั่น กลัวจนก้าวขาไม่ออก อีกเพียงอึดใจเดียวที่ฝูงค้างคาวจะพุ่งเข้ามาถึงตัว ฮูหยินฟางก็หวีดร้องออกมาสุดเสียง เปรี้ยง! หยวนจื่ออี๋หลับตาปี๋เพราะมิอาจทนดูภาพที่เกิดขึ้น ร่างราวกับถูกกระชากดึงขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงอีกครั้งบนความอ่อนนุ่มแต่เปียกชื้นแปลกใหม่ “เกาะให้แน่นๆ ล่ะ” เสียงทุ้มไพเราะดังแหวกผ่านเสียงลมโกรกอื้ออึงเข้ามายังโสตประสาท ทว่าเด็กหญิงมิได้มีเวลามาใส่ใจมากนักในเมื่อชีวิตของเสี่ยวจูสำคัญกว่า ความหนาวยะเยือกขุมหนึ่งวาดผ่านกายเล็กในขณะที่เจ้าตัวลืมตาขึ้นมา ความตกตะลึงที่เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้วส่วนหนึ่งดูจะกลายเป็นเรื่องขี้เล็บไปทันทีเมื่อได้เห็นว่าพายุฝูงค้างคาวสีม่วงที่ม้วนตัวเข้ามาหาอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่ต่างถูกเปลวเพลิงสีฟ้าแผดเผาจนแตกกระเจิง ต่างบินหนีกันอย่างทุรนทุราย ส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมานไปทั่ว เสี่ยวจูที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่พลันได้สติกลับมาอีกครั้ง จึงอาศัยจังหวะนั้นวิ่งกลับไปกอดร่างที่ยืนนิ่งดั่งเสาหินของมารดา หยวนจื่ออี๋ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก คล้ายได้ยินเสียงบิดาของตนตะโกนเรียกอยู่ไกลๆ แต่ยังมิทันได้หันไปมองก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวจากสิ่งอ่อนนุ่มที่รองรับอยู่ใต้ร่าง มือเล็กป้อมไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณ พบว่าตนเองคว้าคอของสัตว์ร่างขนสีขาวตัวใหญ่ ที่แท้นางก็กำลังนั่งขี่หลังของมันอยู่นั่นเอง แม้ยามนี้นางจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจแล้วว่าทุกคนปลอดภัย ทว่าสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเล่า? มันมีที่มาที่ไปเช่นไรกันแน่ เด็กหญิงขมวดคิ้ว จังหวะต่อมาก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ตราบใดที่นางยังขี่หลังจิ้งจอกหิมะที่ตัวใหญ่เท่าหมาป่าได้อย่างหน้าตาเฉยเยี่ยงนี้ ดูท่าต่อให้มีเทพเซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ก็คงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ผู้คิดมองฝูงค้างคาวซึ่งตามลำตัวลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าพากันบินจากไปอย่างทุลักทุเล เม็ดฝนหยุดโปรยปราย เมฆดำครึ้มสลายตัวดั่งหมอกควัน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นชื้นของดินและความเปียกชุ่มตามร่างกาย หยวนจื่ออี๋เปียกไปทั้งตัวก็จริงอยู่แต่กลับไม่รู้สึกหนาว ไออุ่นจากสัตว์ขนฟูตัวใหญ่แผ่ลามไปทั่วตัวประหนึ่งห่มเสื้อขนสัตว์สักสามชั้น หากถึงอย่างไรนางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเพราะเดาอารมณ์มันไม่ถูกอยู่ดี “อยู่นิ่งๆ นะ” เสียงเล็กกล่าวขณะที่ลอบกลืนน้ำลาย “ข้าจะลงไป” จิ้งจอกตัวนี้หาได้สนใจคำพูดของนางไม่ เจ้าของร่างใหญ่โตขนฟูเบือนสายตาไปยังเรือนของฮูหยินฟาง ส่งผลให้เด็กน้อยหันตามไปอย่างอดเสียมิได้ พวกเขา...ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นบิดาล้วนมองมาที่นางด้วยแววตาพิลึกพิลั่นราวกับนางเป็นสัตว์ประหลาด แม้จะมิใช่ความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่มันจะไม่ใช่แววตาที่ใช้มองเด็กไร้เดียงสาวัยห้าขวบ พวกนางมิสามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีกต่อไปแล้ว บรรยากาศอึดอัดบริเวณโดยรอบทำให้นางนึกถึงเวลาอยู่บนเขาสูง ความบางเบาของอากาศรอบตัวเบาบางจนแทบหายใจไม่ออก สมองของนางขาวโพลนไปหมด จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะลงจากหลังสัตว์ร่างใหญ่กลับนิ่งอยู่กับที่ จิตใต้สำนึกร่ำร้องเพียงอย่างเดียวว่านางอยากจะหายไปจากที่นี่... อยากน้อยก็สักพักหนึ่ง “แน่ใจแล้วรึว่าอยากจะลงไป” จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มไพเราะดังขึ้นอีกครั้งราวกับมานั่งอยู่กลางใจ เด็กน้อยนิ่งงันไปครู่หนึ่ง มั่นใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับที่นางเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นบิดา เสี่ยวจู หยวนถังกับหยวนซู ก็ไม่มีผู้ใดมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหลเยี่ยงนี้ ดวงตาสีชาพลันเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีข้อสันนิษฐานหนึ่งผุดขึ้นในใจ หรือว่าจะเป็น... นางก้มมองเจ้าสิ่งที่ตนเองกำลังขี่อยู่ “เจ้า...เป็นคนพูดกับข้าหรือ” เจ้าจิ้งจอกที่อยู่ใต้ร่างยักคิ้วหลิ่วตา “เจ้าดูไม่ตกใจเลยนะ” มันไม่เพียงพูดเปล่า แต่ยังสะบัดพวงหางสีขาวของมันไปมาอย่างน่าหมั่นไส้ หยวนจื่ออี๋ถลึงตาค้อนควับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาเกิดใหม่ ใครว่าไม่ตกใจกันล่ะยะ! ในขณะที่นางลืมเลือนความหวาดหวั่นจากสายตาของคนรู้จักที่จ้องมองมาไปชั่วครู่ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังแทรกบทสนทนาของหนึ่งเด็กน้อยหนึ่งจิ้งจอกขึ้นมาอีกครั้ง “อี้เอ๋อร์”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD