บทที่12
จับมือแล้ว
วันต่อมา
ฉันลงมาข้างล่างก็เจอคุณว่าที่คู่หมั้นกำลังนั่งคุยกับแม่และป้าพลอยอยู่ในห้องรับแขก ใช่วันนี้ฉันจะไปซื้อของกับเขาแต่จะไปที่ไหนฉันก็ไม่รู้เมื่อวานไม่ได้ถามมัวอึ้งกับคำว่า น่ารักดี
“โน้นไอ้ตัวแสบมาโน่นแล้ว” แม่ฉันโบ้ยหน้ามาหาฉันพี่วาโยเลยหันมามอง วันนี้ฉันใส่กางเกงขายาวเสื้อครอปมันดูแปลกใช่ไหม ฉันเองก็แปลกตาเหมือนกัน
“ไม่กินข้าวกันก่อนเหรอวาโย หรือจะพาน้องไปกินข้าวข้างนอก” ป้าพลอยถามว่าที่หลานเขยที่ก้มหน้ามองต่ำด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวผมพาน้องไปทานข้างนอกครับ นัดเพื่อนเอาไว้ด้วย” รอยยิ้มที่ดูเขินๆ ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มออกมาพร้อมกัน หรือว่าชายหนุ่มจะเริ่มตกหลุมรักตัวแสบของบ้านเข้าแล้ว
ระหว่างทางฉันสังเกตว่าพี่วาโยดูเกร็งๆ เลี่ยงที่จะสบตาฉันเลยหันไปเอียงคอมองหน้าเขาพร้อมส่งสายตาแบ้วๆ ให้เขาไป
“พี่วาโยเป็นอะไรทำไมหน้าแดงจังเลยคะ” รังสีคนตกหลุมรักฉันหรือเปล่านะที่มันประกายวิบวับออกมาแบบนี้
“ปะ เปล่าไม่ได้เป็นอะไร ข้างหน้าก็ถึงแล้วอีกไฟแดงเดียว”
“ร้านอาหารจีนใช่ไหมคะ เบลเคยมาแอบทานติ่มซำกับคุณพ่อ อร่อยมากๆ เลยค่ะ^^”
ฉันยิ้มให้เขาขณะรถติดไฟแดง มันทำให้ทั้งฉันและเขาได้สบตากันแต่สิ่งที่มันทำให้ฉันต้องรีบหุบยิ้มแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางก็คงเป็นเสียงหัวใจของฉันนี่แหละที่มันเต้นแรงมาก แรงกว่าปกติ
หรือฉันจะเป็นโรคหัวใจ....
มาถึงร้านอาหารจีนวันนี้เหมือนมีงานจัดเลี้ยงทางด้านโซนวีไอพี แถมคนยังเบียดเสียดกันจนฉันถูกผู้ชายคนนึงเบียดจนต้องรีบเอามือปิดหน้าอกเอาไว้
หมับ! มือหนาของวาโยรีบคว้ามือของลัลลาเบลเอาไว้และดึงเข้าหาตัวเพื่อกันไม่ให้ใครได้เข้าใกล้เธอ เมื่อทางสะดวกวาโยจึงรีบพาลัลลาเบลขึ้นมาชั้นสองโดยที่ทั้งสองยังเดินจับมือกันขึ้นมา
ถึงห้องวีไอพีเหมือนวาโยจะพึ่งรู้ตัวจึงรีบปล่อยมือลัลลาเบลแล้วพาเธอเข้ามาในห้องอาหาร ภายในห้องมีเพื่อนของเขานั่งรออยู่
“สวัสดีค่ะพี่บอล พี่ไกด์” ฉันยกมือไหว้จนหันมาอีกด้านก็เจอผู้ชายอีกคนนึงที่ความหล่อไม่แพ้พี่วาโยเลย
“นี่เพื่อนพี่อีกคนชื่อโอม เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเดี๋ยวเราก็คงได้เจอ”
“สวัสดีค่ะอาจารย์^^” ฉันยกมือไหว้อาจารย์พร้อมกับรอยยิ้มแต่อาจารย์รีบโบกมือยิกๆ จนฉันต้องรีบเอามือลง
“อยู่ข้างนอกไม่ต้องเรียกอาจารย์หรอก เรียกพี่ดีกว่า ว่าแต่จะหมั้นกันเมื่อไหร่เหรอ”
เป็นคำถามที่ทำให้ฉันอึ้งจนต้องหันไปมองคนข้างๆ ที่ยืนล้วงกระเป๋าไม่พูดอะไร จนพี่ไกด์ต้องขยับที่ให้ฉันกับพี่วาโยได้นั่ง ระหว่างทานทั้งสี่หนุ่มก็คุยกันถึงเรื่องธุรกิจที่พวกเขาร่วมกันลงทุนนั่นก็คือนำเข้ารถยนต์และอะไหล่รถหรู
ฉันพึ่งรู้ว่าพี่วาโยชอบแข่งรถมากถึงว่าเขาขับแต่รถหรู แถมยังขับรถปาดซ้ายปาดขวา ปาดหมดไม่สนลูกใคร
“น้องลัลลาเบลสนใจความเร็วไหมครับ” ไกด์นั่งมองสาวน้อยที่มองตามผู้ใหญ่คุยกันไปมาโดยที่เธอไม่ได้แสดงอาการเบื่อหรือรำคาญแต่อย่างใด
“ก็น่าสนใจนะคะ สก๊อยเก่าค่ะแต่ตอนนี้อัพเกรดแล้วคิกๆ”
“ดูพูดเข้า คนเรามันต้องเคยผิดพลาดกันบ้างเป็นเรื่องปกติครับน้องลัลลาเบล เห็นพวกพี่ดูมีหน้าที่การงานดีแบบนี้ตอนอยู่เมืองนอกก็สุดโต่งเหมือนกันนะ เรียนคือเรียนแต่โชคดีที่ในกลุ่มไอ้วาโยมันดูเป็นผู้เป็นคนสุดฮ่าๆๆ”
“ค่ะ เบลก็ผิดพลาดมาเยอะดื้อเลยแหละ ดื้อจนคุณพ่อต้องปล่อยแต่พลาดเมื่อไหร่คุณพ่อซ้ำเลย”
ฉันเล่าวีรกรรมสมัยวันเฟี้ยวฟ้าวให้หนุ่มๆ ได้ฟัง ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันแสบมาก แต่ตอนนี้ฉันก็เฉยๆ นะไม่ได้อยากต่อต้านครอบครัวแล้ว จะพูดว่าหลังจากโดนไม้เรียวคุณพ่อไปวันนั้นเหมือนฉันได้สติคืนมาบ้าง
ส่วนแผนการที่จะหลอกฟันว่าที่คู่หมั้นฉันยังไม่ลดความพยายามนะ แต่ไม่อยากรุกในตอนนี้ ค่อยๆ ทำให้เขาคลั่งฉันก่อนจากนั้นฉันก็เทเขา สะใจดี!
พวกเราทุกคนทานอาหารกันจนอิ่มพี่วาโยก็พาฉันขับรถมายังโกดังอะไรสักอย่างโดยมีรถของพี่บอล พี่ไกด์และพี่โอมขับตามมาจอด ฉันมองไปรอบๆ มันอยู่ห่างจากอาคารอื่นพอสมควรด้านหน้าติดถนนใหญ่มีลานปูนกว้างๆ แต่พอมองไปมองมาเหมือนมันยังก่อสร้างไม่เสร็จมากกว่า
“ที่นี่จะเป็นโชว์รูม อู่รถแข่ง และเป็นออฟฟิศตอนนี้มันยังไม่เสร็จดีอีก3เดือนน่าจะเสร็จ”
ฉันเดินตามเข้ามาดูด้านในตอนนี้มีรถหรูจอดไว้โดยมีผ้าคลุมอย่างมิดชิด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากิจการของพวกเขาจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้
“ถ้าวันไหนพี่วาโยมีแข่งรถพาเบลไปด้วยนะคะเบลอยากเห็นพี่วาโยแข่งค่ะ เบลจะไปเชียร์^^”
“ได้แข่งวันไหนจะบอกล่วงหน้าก็แล้วกัน”