ผืนแผ่นดิน ดาษเดื่อน ใบไม้แดง
อัสดง ทอแสงทอง ผ่องนภา
วายุโหม วิหคเหิน คืนพนา
มวลบุปผา ร่วงโรยรา รัตติกาล
ตอนที่ 2
“แม่นาง เชิญคิดเงินทางนี้ด้วยเถิด”
ลูกค้าที่มาดื่มกินในภัตตาคารกันปิ่ง ต่างพากันเรียกใช้บริการของสาวสวยผู้ทำหน้าที่เสริฟอาหารและคิดเงิน ทั้งที่มีเสี่ยวเอ้อผู้ชายคอยให้บริการอยู่ใกล้ๆ
“ได้ยินแล้วค่ะนายท่าน”
หลิวอี้เฟยขานรับ และรีบเดินไปเก็บเงินค่าอาหารที่โต๊ะใหญ่ แม้จะถูกเรียกใช้บ่อยกว่าคนอื่นแต่นางก็ไม่นึกเกี่ยงงอน เพราะส่วนมากลูกค้ามักจะมีสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ มอบให้นางเสมอ
“เดี๋ยวก่อนสิแม่นาง ข้าเรียกหาเจ้าตั้งนานทำไมถึงไม่หันมาทางนี้บ้าง”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ฉุดแขนเรียวเล็กของหลิวอี้เฟยเอาไว้ทัน ก่อนที่ร่างเล็กบอบบางจะเดินผ่านไป
“เอ่อ... ข้าจะไปคิดเงินโต๊ะนั้นแทนเจ้าเอง”
เสี่ยวเอ้อผู้รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยประจำโต๊ะของชายหนุ่มร่างยักษ์ซึ่งกำลังลวนลามหลิวอี้เฟยรีบออกตัวชิ่งหนีเรื่องเดือดร้อนที่อาจจะทำให้เขาต้องเจ็บตัว
“ขออภัยนายท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้คะ”
นางพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุม ทว่าลูกค้าผู้นั้นกลับไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังกระชากแขนของนางเข้าหาตัวและทำท่าสูดดมอย่างถือวิสาสะ
“อื้อหืออ... ผิวขาวเนียนนุ่มนิ่มปานทารก ขนาดมือยังหอมชื่นใจถึงเพียงนี้ ที่อื่นจะหอมชื่นใจขนาดไหนนะ”
“ได้โปรดปล่อยข้าเถิดนายท่าน”
หลิวอี้เฟยกระชากแขนกลับแต่ไม่สำเร็จ นางจึงตัดสินใจใช้เท้ายันพื้นและใช่แขนอีกข้างตะกายกอดเสาอาคารเพื่อยื้อยุดให้หลุดพ้นจากอุ้งมือของลูกค้าชายจอมกักขฬะ สภาพของนางยามนี้ดูทุลักทุเลน่าเวทนายิ่งนัก แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้กระทั่งเจ้าของภัตตาคารยังทำตัวเล็กลีบ หลบภัยอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน
“อะไรกัน ข้าแค่ต้องการความชื่นใจเพียงนิดเดียว ทำไมถึงตั้งท่ารังเกียจกันขนาดนี้”
“ภัตตาคารของเราขายแต่อาหารไม่ได้ขายเนื้อสด หากท่านต้องการหญิงสาวปรนนิบัติเอาใจก็เชิญไปที่หอแดงเถิด”
หลิวอี้เฟยพูดด้วยโทสะ แม้นางจะตัวเล็กกว่าชายผู้นี้มากเกินสองเท่า ทว่าก็ไม่ยอมจะถูกข่มเหงเอาเปรียบได้ง่ายๆ
“เชิญไปซื้อเนื้อที่หอแดงอย่างนั้นหรือ ข้าจะกินเนื้อเจ้านี่แหละ ใครจะทำไม! ”
ชายร่างยักษ์ตะวาดเสียงดังและกวาดสายตาดุร้ายมองไปรอบๆ ภัตตาคารด้วยความยโสโอหังกระด้างกระเดื่อง
“รังแกผู้อ่อนแอกว่าเช่นนี้ไม่ถือเป็นวิสัยของชายแท้ หรอกนะพี่ชาย”
ผู้คนในภัตตาคารหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้ใดคือพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยสาวงามผู้น่าสงสารไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่นางจะถูกชายโฉดฉุดกระชากออกจากภัตตาคารกันปิ่งและพาไปกระทำย่ำยีในที่ลับหูลับตา
“ผู้ใดบังอาจท้าทายข้า”
“ท่านผู้นี้คือ คุณชายซือเหยียน บุตรชายคนเดียวของตระกูลซือแห่งเมืองซือโฉว”
คนที่กล่าวตอบโต้ชายร่างยักษ์คือคนรับใช้ส่วนตัวที่เดินรั้งท้ายเจ้านาย โดยมีซือเหยียนคุณชายผู้หล่อเหลาเจ้าสำอางค์สะบัดข้อมือโบกพัดกระดาษจันทร์หอมวาดลวดลายทิวทัศน์งดงามวิจิตรเดินนำหน้า
ซือเหยียนย่างก้าวเข้ามาภายในภัตตาคารกันปิ่งด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยสมกับเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลซือ ซึ่งร่ำรวยมหาศาลและมีอำนาจมากที่สุดในเมืองซือโฉว
“คุณชายซือเหยียน แห่งตระกูลซือ! ”
ช่ายหนุ่มร่างยักษ์ทำตาเหลือกลาน ยามกล่าวทวนชื่อนั้นเสียงดังและรีบปล่อยมือจากท่อนแขนเรียวเล็กของหลิวอี้เฟยโดยไว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลนลานก้มศรีษะโค้งคำนับซือเหยียน พร้อมระล่ำระลักกล่าวคำขอโทษและผลุนผลันวิ่งออกไปจากภัตตาคารจนฝุ่นตลบกลบหนทาง
“ขออภัยคุณชายซือเหยียน ข้าน้อยมีธุระด่วนต้องรีบไปสะสาง”
เสียงตะโกนโห่ไล่อันธพาลตาขาวผู้นั้นดังเซ็งแซ่ จากนั้นทุกคนภายในภัตตาคารก็หันมาให้ความสนใจแก่คุณชายซือเหยียนผู้หล่อเหลางามสง่า อีกทั้งยังเป็นที่่น่านับถือยิ่ง เพราะแม้แต่ชายหนุ่มร่างยักษ์ ซึ่งได้ยินเพียงชื่อของซือเหยียนก็ยังหัวหดด้วยความเคารพยำเกรง
“หึ! นึกว่าจะแน่”
ซือเหยียนกล่าวเยาะ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือปัดปลายจมูกโด่งคม ก่อนหันมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของหลิวอี้เฟย ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าปลอดภัยดี ขอบคุณท่านมากที่มาช่วยข้าอีกครั้ง”
หลิวอี้เฟยตอบพลางซ่อนใบหน้ายิ้มปลาบปลื้ม หลบสายตารักใคร่เสน่หาด้วยการก้มมองมือของตัวเองอย่างขวยเขิน
“ข้าห้ามเจ้าแล้วว่าไม่ต้องมาทำงาน มีเรื่องใดจำเป็นต้องใช้เงินก็ให้บอกข้า”
ซือเหยียนถือโอกาสโอบไหล่บอบบาง ตอนที่หลิวอี้เฟยยังมัวแต่ก้มหน้าเอียงอาย
“เอ่อ...”
“โอ... คุณชายซือ ข้าน้อยต้องขอบคุณที่คุณชายมาช่วยภัตตาคารของเราจากคนพาลไว้ได้อีกครั้ง”
หลิวอี้เฟยเบี่ยงตัวหลบจากอ้อมแขนของชายคนรักอย่างหวงเนื้อหวงตัว เมื่อได้ยินเสียงเจ้าของภัตตาคารที่พึ่งโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะ และรีบเดินมาขอบคุณซือเหยียน ขณะที่อีกฝ่ายกลับลอบทำสีหน้าเบื่อหน่ายเพราะถูกขัดจังหวะ
ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ก่อเรื่องลวนลามหลิวอี้เฟยในภัตตาคารกันปิ่งนั่งกระดิกเท้ารอคุณชายซือเหยียนอยู่ที่ศาลาริมทาง พอมองเห็นรถม้าของตระกูลซือแล่นเข้ามาใกล้ก็รีบลุกขึ้นจากม้านั่งอย่างรวดเร็ว
“รอตั้งนาน นึกว่าพวกท่านจะเบี้ยวค่าจ้างเสียแล้ว”
“เศษเงินแค่หยิบมือ คุณชายซือเหยียนของข้าไม่โกงเจ้าให้เสียชื่อวงศ์ตระกูลหรอก”
บ่าวรับใช้ผู้แสนจงรักภักดีของซือเหยียนเป็นคนนำเงินมาส่งให้ชายผู้นั้น
“หากมีธุระอื่นใด คุณชายซือเรียกใช้ข้าน้อยได้ตลอดเวลานะขอรับ”
ชายร่างยักษ์ตะโกนข้ามหัวบ่าวรับใช้ ขณะที่ซือเหยียนซึ่งนั่งรออยู่ในรถม้าสะบัดหน้าหนีไปอีกทางด้วยความรำคาญ
“ได้ค่าจ้างแล้วก็รีบไสหัวไปไกลๆ หากไม่มีคำสั่งคุณชายก็จงอย่าเสนอหน้ากลับมาที่ซือโฉวอีกเป็นอันขาด”
“แหม... ช่างน่าเสียดาย คุณชายซือ! หากท่านต้องการผู้ร้ายที่สวมบทบาทขืนใจสาวงาม ก็อย่าลืมเรียกใช้ข้าล่ะ”
ชายร่างยักษ์ตะโกนไล่หลังบ่าวรับใช้คนสนิทของซือเหยียนซีึ่งกำลังเดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถม้า
“ผู้ร้ายที่ขืนใจสาวงามเช่นนั้นรึ”
ซือเหยียนรวบพัดที่อยู่ในมือ พลางกล่าวทบทวนคำพูดของหน้าม้า นัยน์ตาเจ้าเล่ห์วาวโรจน์ดั่งมีกองไฟขนาดย่อมซ่อนเร้นอยู่ภายในเมื่อนึกแผนการณ์ร้ายใหม่ขึ้นมาได้ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะแสนโฉดชั่วดังลั่นรถม้า
โคมไฟที่ถืออยู่ในมือส่องแสงริบหรี่เสียจนหลิวอี้เฟยหงุดหงุดเพราะมองทางเดินไม่ชัดเจน นางรู้สึกไม่สบายใจนักที่ต้องเดินทางกลับบ้านดึกดื่นเพียงคนเดียว แต่ถูกความจำเป็นหลายประการบีบบังคับและเป็นเพราะความขี้เกรงใจที่ไม่กล้าปฏิเสธคำขอร้องให้ช่วยงานของเจ้าของภัตตาคาร
ปกติหลิวอี้เฟยจะเดินทางกลับพร้อมมารดาและเพื่อนบ้านที่ทำงานในภัตตาคารกันปิ่ง ทว่าวันนี้เพื่อนบ้านกลับก่อนแล้วเพราะหมดหน้าที่ ส่วนมารดาก็ล้มป่วยนอนพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้าน
“ไม่คิดว่าจะได้มาเจอนางฟ้าเดินตรอกยามวิการแบบนี้”
เสียงห้าวของบุรุษลึกลับดังขึ้นท่ามกลางความมืดทำขวัญกระเจิดเจิง จากที่เดินแบบรีบเร่งหลิวอี้เฟยตัดสินใจวิ่งหนีอย่างไม่เสียเวลาคิด
“ฮ่าๆ อย่าวิ่งให้เหนื่อยเลยคนสวย อย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นหรอก”
หลิวอี้เฟยหวาดกลัวแทบสิ้นสติ เพราะจดจำเสียงหัวเราะหยาบโลนกักขฬะของชายอันธพาลร่างยักษ์ผู้นั้นได้ดี
นางวิ่งหนีด้วยความเร็วสุดชีวิต ป่าวร้องตะโกนให้คนช่วยเหลือแต่ทว่ายามดึกสงัดเช่นนี้ผู้คนล้วนหลับลึก ก็ไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมาช่วย
วิ่งหนีไปได้ไม่ถึงครึ่งหลี่ร่างเล็กบางก็ถูกมือใหญ่ฉุดกระชากเข้าสู่อ้อมแขน นางทั้งดิ้นรนกรีดร้องและทุบตี แต่ไม่อาจสู้เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นได้
“ข้าสัญญาว่าจะกินเนื้อหวานๆ ของเจ้ายันฟ้าสางเลยเชียว”
ชายร่างยักษ์เอามือปิดปากของนางไว้และกระซิบข้างหู ลมหายใจฉุนกลิ่นสุราเป่ารดกระหม่อมน่าสะอิดสะเอียนเสียจนหลิวอี้เฟยอยากกัดลิ้นให้ตัวเองสิ้นใจตายไปเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าจังหวะที่นางกำลังจะถูกลากเข้าไปที่เพิงขายของข้างทางก็มีเสียงเอะอะดังแว่วมาจากด้านหลัง
“อยู่นั่นไงขอรับ คุณชายซือ”
ชายร่างยักษ์รีบปล่อยร่างบอบบางนุ่มนิ่มเป็นอิสระด้วยความรู้สึกเสียดาย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ และวิ่งหนีหายไปในความมืดอย่างว่องไว
“ช่วยด้วย”
หลิวอี้เฟยร้องขอความช่วยเหลือ หางเสียงไอโขลกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“อี้เฟยเจ้าปลอดภัยหรือไม่”
ซือเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ พลางโอบกอดร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น ส่วนบ่าวรับใช้ผู้ติดตามพากันแห่ขบวนวิ่งต่อไปยังทิศทางเดียวกับชายร่างยักษ์ผู้นั้น
“ขอบคุณพี่ซือเหยียน ที่มาช่วยข้าไว้ทัน”
นางกล่าวขอบคุณซือเหยียน น้ำเสียงและร่างกายโรยแรง
“อี้เฟย ข้าเจ็บใจนักที่เจ้าถูกทำร้าย”
ซือเหยียนทำท่าฮึดฮัด ขณะกอดรัดหลิวอี้เฟยไว้แนบอก พลางฉวยโอกาสกดจุมพิตลงบนขมับของนางและสูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากกายสาว
“พี่ซือเหยียนอย่าวิตกไป ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” หลิวอี้เฟยเอามือ ดันอกหนาออกห่าง ทว่าซือเหยียนก็หาจังหวะดึงนางเข้าไปกอดรัดอีกจนได้
“ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ”
“อย่าลำบากเลย แค่ช่วยพาข้าไปส่งที่บ้านก็พอ”
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องให้ข้าอุ้มไปส่งบ้าน”
ซือเหยียนไม่พูดปล่าว แต่ถือวิสาสะอุ้มนางก่อนแล้ว
“พี่ซือเหยียน” หลิวอี้เฟย เอ่ยชื่อคนรักเสียงเบา
“ถ้าไม่ให้อุ้ม ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ”
หลิวอี้เฟยพยักหน้าตกลงด้วยความเอียงอาย พลางซบหน้าลงกับไหล่กว้างของซือเหยียนด้วยอย่างเป็นสุขและรู้สึกปลอดภัยไร้กังวล โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นยิ้มร่ากับความมืดด้วยความสมใจยิ่งกว่า