“ฮัดเช่ย!” ฉันแหงนหน้าสูดน้ำมูก ส่วนมือก็คอยเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะจามเยอะ ฉันจามไม่หยุดตั้งแต่ตื่นนอน สาเหตุมาจากเมื่อวานเดินตากฝนไปร้านยำ
ด้วยความที่อยากกินยำสุดชีวิต ไม่สามารถนอนทั้งที่ปล่อยให้ท้องว่าง เลยตัดสินใจหยิบกระเป๋าตังค์ออกจากห้องด้วยความเร็วแสงเพราะกลัวว่าป้ามิ่งจะเก็บร้านกลับบ้านก่อน
ป้ามิ่งขายยำหน้าหอที่ฉันพัก แกขายตั้งแต่เที่ยงวันลากยาวถึงเที่ยงคืน ด้วยความที่คิดว่าไปใกล้ ๆ แค่นี้เลยไม่ได้พกร่ม แล้วคิดว่าตัวเองคงไม่ซวยขนาดที่ก้าวขาออกจากตึกแล้วฝนตกลงมาใส่ แต่ที่ไหนได้ เดินออกจากหอไม่ถึงสามก้าว ฝนก็เทกระหน่ำลงมา จะให้หันหลังกลับก็เสียเวลา เพราะตอนนั้นเปียกไปทั้งตัว จึงตัดสินใจเดินฝ่าฝนจนกระทั่งถึงร้านยำ แล้วสภาพก็อย่างที่เห็น เยินไม่เป็นท่า
“ไหวป่ะเนี่ย” นินิวถามกันอย่างเป็นห่วง มือเล็กหยิบทิชชูให้หลังเห็นว่าฉันสั่งน้ำมูกยังไม่หมด
“ไหว ๆ” ฉันทำมือรูปตัวโอส่งให้เพื่อน นินิวยังคงมองกันอย่างห่วงใย จนกระทั่งเพื่อนในคลาสเข้ามาชวนไปดูบาสคนตัวเล็กถึงได้ละความสนใจไปจากฉัน
“ขอบใจที่ชวนนะส้ม แต่พอดีเรานัดไอ้บอสไว้”
“งั้นเหรอ แล้วฝันอ่ะ ไปด้วยกันป่ะ”
“ขอบายแล้วกัน ไปก็คงไม่สนุก” ฉันชี้มือไปยังกองทิชชูที่ใช้แล้ว ส้มพยักหน้าเข้าใจ แต่ก่อนไปไม่วายย้ำว่าถ้าเปลี่ยนใจตามไปได้
“แล้วนี่ก็จะปฏิเสธดูซีรีส์ด้วยใช่ไหม”
“อือ อยากนอนแล้วตอนนี้” ฉันเริ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว พอโดนอาจารย์อัดวิชาเยอะเข้าจากที่บอกนิวว่าไหวก็ชักจะไม่ไหว
“ถ้ามีอะไรโทรมานะ เดี๋ยวจะรีบบึ่งไปหา”
“ขอบใจจ้า ดูซีรีส์ให้สนุก” โบกมือส่งนินิว สะบัดหน้าเล็กน้อยให้ตัวเองตื่น ก่อนจะเดินขึ้นรถขับออกจากมหา’ ลัย ระหว่างทางแวะซื้อโจ้ก จะได้ไม่ต้องออกมาซื้อของกินอีกส่วนยามีแล้วเลยไม่ต้องซื้อ
“อยากมีคนให้อ้อนจัง” พอป่วยแบบนี้ความงอแงเหมือนจะผุดเพิ่มขึ้นมา ปกติไม่มีหรอกอยากอ้อนใคร ถ้าไม่ใช่ทอแลใส่เฮียน็อต “เฮียน็อต? หรือว่าจะโทรอ้อนเฮียน็อตดี”
ไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย กดโทรออกไปเลยให้มันจบ ๆ เรื่อง ยังดีที่มีเสียงตู้ด ถ้าโทรปุ๊บตัดปั๊บรู้เลยว่าเหมือนฝันโดนบล็อกแล้ว
(...) ยกโทรศัพท์ออกจากหูเพราะคิดว่าสายถูกตัด เนื่องจากไม่ได้ยินเสียงรอสาย ปรากฏว่ามันถูกกดรับแต่คนทางนั้นกลับไม่ยอมพูด
“เฮียค่ะ แค่ก ๆ” ไอโครกครากชิมรางไปสักหน่อย “เฮียพอมีเวลาไหมคะ ฝันอยากรบกวนซื้อยาเข้ามาให้หน่อย แค่ก ๆ” เป็นไงล่ะ การแสดงระดับตุ๊กตาทองที่ฝึกมาจากเจ้ดีดี้ตั้งแต่เข้ากองประกวด
ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจ ลุ้นอยู่นานว่าจะถูกตัดสายทิ้งไหม
“เป็นอะไร”
“ฝันไม่สบายค่ะ ปวดหัว ปวดตัว เจ็บคอ รู้สึกแขนขาอ่อนแรง ตอนนี้แม้แต่เดินก็ยังไม่ไหว”
(ให้เรียกรถฉุกเฉินไหม)
“เรียกทำไมคะ?”
(จากอาการที่เธอบอก ไม่น่าจะอยู่รอดถึงพรุ่งนี้)ฉันกำหมัดใส่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ถึงกับเปิดลำโพงเพื่อพยายามตั้งสติไม่ให้ปรี๊ดแตกใส่คนช่างแช่ง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้าได้ยาจากเฮียน็อตฝันคงหายภายในเร็ว ๆ นี้” ว่าจบก็กระแอมไอไปอีกสองที ทำทีช้อนหล่นให้ปลายสายได้ยินเสียง เอะอะไปเรื่อยเรียกร้องความสนใจ “ขอร้องนะคะเฮีย ช่วยซื้อยาให้ฝันหน่อย”
(อีกสิบนาทีลงมาเอา) สายถูกตัดไปหลังจบประโยคนั้น ฉันดีดตัวลุกส่ายตูดด้วยความดีใจ เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเฮียน็อตไม่ได้ใจร้ายอย่างปากว่า คนหล่อของฉันใจดีที่สุดเท่าที่คนหล่อเคยมีมา
“ลั้นลาลั้นลา มารึยังน้า มารึยังเอ่ย” ฮำเพลงเดินรอบห้อง ตาก็คอยมองแต่โทรศัพท์ว่าเมื่อไหร่จะมีสายเรียกเข้า “ผ่านไปแปดนาทีกับอีกสามสิบสามวินาทีแล้วนะ ทำไมเฮียน็อตยังไม่ถึงอีก” ไม่ใช่ว่าหลอกให้ตายใจแล้วปล่อยให้ฉันรอเก้อหรอกนะ “ไม่หรอกน่า เฮียน็อตไม่ใช่คนแบบนั้น”
ตบตีกับตัวเอง อยากโทรไปเร่งแต่ก็ไม่กล้า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวินาที ในที่สุดก็มีสายเรียกเข้า
“ค่ะเฮีย”
(ลงมาเอา) เสียงดุซะด้วย แต่ยังไงก็น่าฟัง
“เฮียเอาขึ้นมาให้ฝันได้ไหมคะ ขาฝันไม่มีแรง”
(ไม่มีแรงก็ไม่ต้องเอา ฉันจะวางไว้ตรงนี้)
“อ๊ะ!” ฉันอุทานอย่างตกใจ จากนั้นก็เงียบ ปลายสายเองก็เงียบไปเหมือนกัน เราเงียบอยู่อย่างนั้นประมาณสิบวินาที
(เหมือนฝันเธอเป็นอะไร ได้ยินฉันพูดไหม) ฉันไม่ตอบ เอาแต่ปิดปากยิ้มเมื่อน้ำเสียงของเฮียน็อตเริ่มลนลาน (เธออยู่ห้องไหน)
“ชั้นสามห้องสี่ค่ะ” สายถูกตัดไปอีกแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าเฮียน็อตจะขึ้นมา หรือว่าเฮียเขาจะขับรถกลับคอนโด แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องเตรียมตัว กดน้ำร้อนใส่กะละมังมาอังหน้าให้ไอร้อนเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่ายกายจะได้เหมือนคนป่วยหนัก
ก๊อก ก๊อก
“เหมือนฝัน” มาแล้ว! ตาย ๆ ต้องรีบเก็บกะละมัง
ฉันเทน้ำทิ้งโยนกะละมังเข้าไปในห้องน้ำ ใช้มือยีผมให้ฟูแต่มีข้อแม้ว่ายังต้องดูสวย จากนั้นปรับสีหน้าให้เหมือนคนอดข้าวมาแล้วเกินครึ่งปี
“เธอเป็นยังไงบ้าง” พอเห็นฉันเฮียน็อตก็รีบถามทันที คนพี่ลากสายตาสำรวจ ฉันก็เลยยกมือปิดปากไอ
“เมื่อกี้ฝัน แค่ก ฝัน แค่ก ๆ”
“พอ ไม่ต้องพูด” ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหรือรำคาญที่ฉันไอไม่เลิกเฮียน็อตถึงยกมือห้ามไม่ให้ฉันพูดต่อ แล้วดันฉันให้เดินเข้ามาภายในห้อง “กินข้าวแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ กินแล้วนิดหนึ่ง” ไม่ใช่ป่วยจนกินอะไรไม่ลง แต่ดีใจที่คนพี่จะมาหาเลยลืมไปว่าตัวเองต้องกินข้าว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนว่าฉันอาจป่วยหนักถึงขั้นไม่สามารถกินอะไรได้
“ก็ดีกว่าไม่ได้กิน” เฮียน็อตพยักหน้า “กินยาจะได้พักผ่อน” คุณหมอจำเป็นหยิบยาออกจากถุง อ่านสลากจนละเอียดถึงได้ยื่นยาสองสามเม็ดมาให้กัน แต่ฉันไม่ยอมรับ
“ป้อนได้ไหมคะ” ฉันทำหน้าอ้อน “นอกจากขาไม่มีแรง มือฝันก็ไม่มีแรงเหมือนกันค่ะ” เฮียน็อตถอนหายใจแต่ก็ยอมป้อนยาถึงปากฉัน จากนั้นก็ป้อนน้ำตามหลังมา บอกเลยว่ายาที่ปกติขมตอนนี้กลับรู้สึกหวานจนอยากจะกินให้หมดถุง!
“โอ๊ะ!”
“เหมือนฝัน!” เฮียน็อตเรียกชื่อฉันอย่างตกใจ หลังฉันทำทรงหน้ามืดเลื้อยตัวนอนหนุนตักไม่ยอมลุก
“เวียนหัวมากเลยค่ะ ขออยู่แบบนี้แป๊บหนึ่งนะคะ”