“แต่ละคน ไปร้านนั่งชิวนะเว้ย ไม่ได้ไปเข้าผับ” ปั้นเห็นการแต่งตัวของฉันกับบอสก็เอาแต่ส่ายหัว เพื่อนชายบ่นอุบไม่หยุดตลอดทาง
“ไปที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญแค่ว่าเราสวยเท่านั้นจบ” ฉันกับบอสแปะมือกันอีกครั้งด้วยความพอใจ เราหัวเราะร่าเมื่อเห็นว่าปั้นกับนินิวกรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย
พอมาถึงออกรบ ฉันควงแขนบอสที่แต่งตัวปานคุณชายเสด็จออกจากวังอย่างคุ้นเคย เราสองคนมักใช้กันและกันเป็นไม้กันหมา บอสใช้ฉันกันผู้หญิงที่นางมักเรียกว่าชะนี ส่วนฉันใช้บอสกันผู้ชายธงแดงที่มักจะเข้ามาเพื่อหวังเรื่องอย่างว่า
“ดูมันสองคน ทำเป็นหน้าบาง” บอสเบ้ปากตามหลังปั้นกับนินิวที่ปลีกตัวเดินหนีระหว่างที่ฉันกับบอสเยื่องย้ายทักทายคนรู้จัก
เราสองคนเดินทักแทบทุกโต๊ะ ด้วยความที่เคยลงประกวดดาวเดือน ทำให้ฉันมีเพื่อนต่างคณะค่อนข้างเยอะ บอสเองก็เป็นพวกเข้ากับคนง่าย ฉันแนะนำใครให้รู้จักก็ทำตัวสนิทสนมได้ในทันที
ร้านนี้เป็นร้านนั่งชิวที่มีชื่อว่าออกรบ ทำเลร้านตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างมหา’ ลัยของฉันกับมหา’ ลัยของเมฆ แม้จะเป็นร้านนั่งชิวที่เน้นฟังเพลง แต่คนก็แน่นร้านแทบทุกคืน ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์เสาร์ คนจะแน่นร้านเป็นพิเศษ
“มา ๆ น้องฝันน้องบอส ชนแก้วกับพี่หน่อย” พี่ดีดี้พี่เลี้ยงกองประกวดของฉันเอ่ยชวน ด้วยความมารยาทดีจึงไม่บังอาจปฏิเสธ ไม่ว่ารุ่นพี่ยื่นให้กี่แก้วเหมือนฝันก็ยกหมดไม่สนว่าเหล้าใคร
ดื่มโต๊ะนี้จนพอใจ ฉันก็พาบอสย้ายมาดื่มอีกโต๊ะหนึ่ง ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต่างกวักมือเรียกกันให้วุ่น จนตอนนี้เริ่มตาลาย มองไม่ชัดแล้วว่าหน้าตาแบบนี้ชื่ออะไร
“เพื่อนบอส เพื่อนฝันว่าเราควรพักก่อนดีกว่า”
“เนอะ กูก็ไม่ไหวละ” บอสส่งแขนมาให้ ฉันจึงสอดแขนตัวเองเข้าไปคล้อง เดินโซเซหลบซ้ายขวากว่าจะเดินถึงโต๊ะก็ถึงกับหอบจับ
“ไอ้นิวไปไหน” พอบอสถามฉันก็หมุดตัวสามร้อยหกสิบองศาเพื่อมองหาเพื่อนตัวเล็ก
“มันไปเข้าห้องน้ำ”
“แล้วทำไมแกไม่ไปกับมัน”
“ที่ไม่ไปก็เพราะกระเป๋าของพวกแก” ปั้นชี้ไปยังกระเป๋าสองใบที่นอนแหมะอยู่บนโต๊ะ ฉันกับบอสยิ้มแหย รู้สึกผิดขึ้นมาเลย
“นั่นมัน” คุยกันได้พักใหญ่ คนที่บอกไปเข้าห้องน้ำก็เดินเคียงคู่มากับรุ่นพี่ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้
“พี่ไปก่อนนะ มีอะไรเรียกได้ โต๊ะพี่อยู่ตรงนั้น” พี่ฟิลด์ชี้มือไปยังโต๊ะของตัวเอง นินิวค้อมหัวให้พี่เขา ฉันกับบอสจึงทำบ้าง อย่างไรพี่เขาก็ได้ชื่อว่ารุ่นพี่ ถึงไม่รู้จักก็เคารพไว้ไม่เสียหาย
“มาพร้อมมันได้ยังไง” ปั้นถามนินิวเสียงแข็ง ฉันตงิดใจกับคำว่า ‘มัน’ ที่ปั้นใช้เรียกพี่ฟิลด์ ซึ่งบอสเองก็คงไม่ต่างกัน
“ไอ้ปั้น พูดให้มันดี ๆ นั่นพี่คณะกู”
“แล้วมึงมีปัญหา?” เอาอีกแล้วสองคนนี้ พึ่งสงบปากได้ไม่นานก็จะหาเรื่องกันอีกแล้ว
“หุบปากกันทั้งคู่ แล้วหันหน้าไปฟังนิว” คำพูดของฉันทำให้สองเพื่อนรักหันหน้าออกคนละทาง พอเห็นว่าทุกอย่างสงบนินิวก็เริ่มเล่า ว่าทำไมตัวเองถึงได้เดินมากับรุ่นพี่สถาปัตย์คนนั้นได้
“ทำไมไม่เรียกว่ะ” ปั้นฮึดฮัดเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันกับบอสเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ที่ได้ยินว่านิวเกือบโดนฉุด
“จะให้เรียกยังไงล่ะ โทรศัพท์ก็ลืมว่าพกไป” ฉันพยักหน้าเข้าใจ ใครเจอสถานการณ์แบบนั้นก็คงทำตัวไม่ถูก ดีนะที่พี่ฟิลด์ไปช่วยทัน
“ขวัญเอ่ยขวัญมานะหนูนิว ขอโทษที่ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนแก” บอสเดินเข้าไปกอดนิว คนตัวเล็กซุกหน้าเข้าหาพุงราวกับเด็กน้อย ภาพนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้มออก
“ขอโทษที่ฉันมัวแต่แรดนะเพื่อนรัก” ฉันเดินเข้าไปกอดนิวด้วยอีกคน รู้สึกผิดที่มัวแต่ไปชนแก้วกับโต๊ะอื่นจนไม่ได้ไปช่วยเหลือเพื่อน แต่เพราะเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างตึง เลยพูดติดตลกไม่อยากให้ทุกคนเกิดความเครียด
“ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องขอโทษ” นินิวไล่ฉันกลับบอสมานั่งโต๊ะ ฉันไล่สายตาสำรวจเนื้อตัวเพื่อนอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่มีตรงไหนบุบสลายก็วางใจ
“แต่ว่านะ ถ้าเฮียน็อตรู้ แกได้จำศีลแน่ยัยหนูนิว” นั่นสิ เฮียน็อตโหดจะตายไป ถ้ารู้ว่ามาแล้วเกิดเรื่อง นินิวได้จำศีลอยู่แค่คอนโดจริง ๆ แน่
“ไม่รู้หรอก”
“ทำไมจะไม่รู้ ไอ้นั่นเป็นเพื่อนเฮียไม่ใช่ไง” เงียบอยู่นาน คนที่ดูเป็นปรปักษ์กับพี่ฟิลด์ที่สุดก็พูดขึ้น
“พี่เขารับปากแล้ว ว่าจะไม่บอกเฮีย”
“แล้วเชื่อ?”
“อือ” พอเห็นว่านินิวพยักหน้า จากที่ไม่ชอบใจเป็นทุนเดิม มือทั้งสองข้างของปั้นถึงกับกำหากันแน่น
“แล้วแต่มึงล่ะกัน” ว่าจบก็ลุกพรวดออกไปจนพวกฉันสามคนได้แต่มองตาม ทำไมปั้นมันถึงได้หงุดหงิดขนาดนั้น จะว่าหงุดหงิดเพราะตัวเองช่วยเพื่อนไม่ได้ก็คงไม่น่าใช่ ฉันว่าต้องมีเงื่อนงำบางอย่างระหว่างปั้นกับพี่ฟิลด์อย่างแน่นอน
แล้วเชื่อไหมว่าขากลับฉันเกือบถูกปั้นไล่ลงจากรถ แค่พูดชมพี่ฟิลด์ว่าเป็นสุภาพบุรุษ มันก็ตึงตังใส่ บอกว่าถ้าอยากนั่งรถกับมันต่ออย่างพูดชื่อนี้ให้ได้ยิน เล่นเอางงกันทั้งรถ ตลกมาก
“ไงฝัน กลับจากเที่ยวเหรอ”
“ค่ะพี่เหมียว” ฉันยิ้มให้รุ่นพี่จากโรงเรียนเก่าของตัวเอง “แล้วนี่กำลังไปไหนคะ”
“พี่ว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยว ไปด้วยกันไหม ซดน้ำซุปร้อน ๆ จะได้หายแฮงค์”
“งั้นฝันขอขึ้นไปเปลี่ยนชุดแป๊บหนึ่งนะ”
“โอเค เอาเส้นไรเดี๋ยวพี่สั่งรอ”
“เส้นหมี่ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มตาหยีให้พี่เหมียวแล้วรีบเดินขึ้นห้อง ความจริงฉันจะเดินไปร้านก๋วยเตี๋ยวชุดนี้เลยก็ได้ แต่ด้วยความที่จัดเต็มเกินไปหน่อย เดรสที่ใส่ก็ยาวไม่ถึงคืบจากหน้าขา กลัวว่าถ้าเจ้าของร้านเห็นจะตกใจจนลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ ดังนั้นจึงเลือกเปลี่ยนชุดให้เหมือนคนปกติทั่วไปใส่ดีกว่า
“เป็นไงบ้างเราช่วงนี้”
“ปวดหัวค่ะ” คำตอบของฉันทำพี่เหมียวหลุดขำ
“การเรียนก็แบบนี้แหละ ไม่สบายเหมือนตอนนั่งดูซีรีส์หรอก”
“ถ้าฝันหัวดีกว่านี้ก็คงดี”
“ไม่เกี่ยว ๆ หัวดีไม่ดี สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเหมือนเดิมแหละ ถ้าเก่งแต่ไม่ส่งงาน ไม่เข้าสอบ ฝันคิดว่าอาจารย์จะให้เกรดไหม” ฉันส่ายหน้าให้กับคำถามของพี่เหมียว “ใช่ไหมละ กลับกันถ้าหัวไม่ดีแต่ส่งงานครบ ขยันเรียนขยันพัฒนา พี่เชื่อนะว่าคนพวกนี้จะได้ดี”
“ขอบคุณที่ปลอบใจคนฉลาดน้อยอย่างฝันนะคะ”
“แนะ ทำไมยังดูถูกตัวเองอีก” พี่เหมียวตีแปะเข้าที่แขน “อยากเก่งทำไมไม่ให้คู่หมั้นติวให้ล่ะ”
“คู่หมั้น!” ฉันกับพี่เหมียวมองหน้ากัน เพราะคำพูดเมื่อกี้ไม่ได้ออกจากปากเราทั้งสองคน แล้วใครกันเป็นคนพูด
“เออ... ขอโทษครับ พี่ตกใจเกินไปหน่อย” พี่ธูปยิ้มแหย่ยื่นหน้าออกมาจากโต๊ะทางด้านหลัง พี่เขาหันหน้ามาทางฉัน ส่วนอีกคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันหันหลังอยู่ ฉันย่นคิ้วเมื่อรู้สึกคุ้นตาแผ่นหลังกว้างนั่นเหลือเกิน
“เป็นอะไรฝัน ตกใจอะไรเหรอ” พี่เหมียวคงเห็นว่าฉันตาโตถึงได้ถามกันอย่างเป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถตอบความสงสัยของพี่สาวได้ เนื่องจากประสาทการรับรู้ทุกอย่างของฉันจดจ่ออยู่กับเจ้าของแผ่นหลังกว้าง ที่กำลังจะหันหน้ามาสบตาฉันเร็ว ๆ นี้
ไม่จริงน่า ทำไมฉันพึ่งเห็นว่าเฮียน็อตนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย!