| 4 - 1

1295 Words
ยามนี้ต้องมนตร์รู้สึกว่า ... แม้แต่นั่งนิ่งๆ เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่กำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง ไม่ต่างไปจากคืนที่เธอสูญเสียบิดาเลย เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าวนเวียนมากระชากดวงใจของเธอนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นภาพที่เธอกำลังเดินเข้ามาภายในบ้านที่เงียบเชียบซึ่งแตกต่างไปจากทุกวัน                          ภาพที่ย่าของเธอนอนจมกองเลือดตรงทางขึ้นบันได มีมีดทำครัวปลายแหลมตกอยู่ใกล้ๆ ตัวท่านหนึ่งเล่ม แล้วต้องมนตร์ก็กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง รีบถลาเข้าไปหาท่าน จากนั้นไม่นานทรงโปรดก็รีบวิ่งตามเธอเข้ามา ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากเธอเลย ทว่า เขากลับมีสติที่ดีกว่า เขารีบดึงเธอมากอดเพื่อให้ห่างจากตัวของคนเจ็บเพราะกลัวว่าเธอจะทำให้ย่าได้รับอันตรายมากกว่าเดิม เขาปลุกปลอบเธอให้มีสติที่สุด ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างกดโทรศัพท์มือถือโทรเรียกรถพยาบาล และไม่นานร่างที่หายใจโรยรินของย่าก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด               ยามนี้หมอกำลังจะยื้อแย่งชีวิตของท่าน จากมือของมัจจุราชอยู่ในห้องผ่าตัด โดยมีเธอที่ร้องไห้คร่ำครวญจนร่างกายเริ่มอ่อนล้าไปหมดแล้ว เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหวไปมาได้ เธอใช้สายตาคอยมองดูที่ห้องผ่าตัดอยู่ตลอด พร้อมกันนั้นทรงโปรดก็ยังคอยอยู่ใกล้ไม่ห่างจากเธอ กระทั่งตอนที่ตำรวจมาสอบปากคำจากเขาและเธอเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าไปเท่าไหร่ เพราะเขาและเธอต่างก็รู้พอๆ กัน ในระหว่างที่มีนายตำรวจสองนายตามมาที่โรงพยาบาล เธอก็ได้ยินตำรวจคุยกับทรงโปรดคร่าวๆ ว่า มีการตรวจค้นภายในบ้านเพิ่ม พบว่าข้าวของภายในห้องนอนของเธอและของย่าถูกรื้อกระจุยกระจายไปหมด ทรัพย์สินมีค่าและเงินทองก็หายไปด้วย     ส่วนกล้องวงจรปิด ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในบ้านก็โดนคนร้ายทำลายทิ้งจนยากที่จะระบุตัวคนร้ายได้ ซึ่งถ้าอยากให้คดีคืบหน้าไปกว่านี้ คงต้องรอให้ย่าของเธอฟื้นขึ้นมาให้ปากคำเอง แต่ก็คงเป็นเรื่องที่ยากเย็นอยู่เหมือนกัน เพราะสัญญาณที่บ่งบอกว่าย่าจะฟื้นขึ้นมาก็แทบเป็นศูนย์ เนื่องจากท่านถูกแทงเป็นแผลฉกรรจ์จนปอดฉีกขาด ที่สำคัญท่านมีอายุมากแล้ว แถมยังมีโรคประจำตัวอย่างเช่นโรคความดันสูงอีกด้วย                         หลังจากที่นายตำรวจสองนายกลับ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ จู่ๆ สูทสีกรมตัวเดิมที่มีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แบบเดิมก็ถูกสวมลงกับไล่บอบบางทั้งสองอีกครั้ง ต้องมนตร์เลื่อนสายตาขึ้นไปมองเจ้าของสูทดังกล่าว เขาคงเดินไปหยิบมันจากรถมาให้เธอ พร้อมกับหาของกินที่มีให้รองท้องไปก่อนอย่างขนม นม และน้ำดื่ม เพราะตั้งแต่มาที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้ดื่มน้ำ หรือกินอะไรเลย   ต้องมนตร์มองของกินในมือหนาด้วยสายตาว่างเปล่า... พร้อมทั้งส่ายหน้าช้าๆ เธอยอมรับแค่สูทที่เขาสวมให้ ส่วนอย่างอื่นเธอไม่ยอมแตะต้องมันเลย  "ฉันรู้ว่าเธอกำลังกลัว แต่ถ้าเธอไม่ยอมกินอะไร เธอจะล้มป่วยลงอีกคนนะ" ทรงโปรดพูดด้วยความเป็นห่วง พลางพิศเพ่งใบหน้าหวานที่แสดงอาการเศร้าสร้อย จนเขาพลอยทุกข์ใจไปด้วย แต่ต้องมนตร์ยังคงส่ายหน้า     "ขอร้องล่ะค่ะ อย่ามาเซ้าซี้ต้องได้มั้ยคะ ต้องกินอะไรไม่ลงจริงๆ" เธอตอบเกือบจะเป็นตวาดด้วยซ้ำ                             ชายหนุ่มจึงพยักหน้ายอมเข้าใจ แล้ววางของกินไว้กับที่นั่งว่างๆ เขานั่งลงบ้างแล้วบอกเธออีก "ตามใจ แต่ถ้ารู้สึกหิวหรืออยากดื่มน้ำ ตรงนี้ก็มีให้แล้วนะ" ต้องมนตร์ไม่เอ่ยถึงเรื่องของกินที่ทรงโปรดเซ้าซี้อีก เธอกลืนก้อนแข็งๆ อะไรสักอย่างลงคอ แล้วเลื่อนสายตาที่เลื่อนลอยไปที่ประตูห้องผ่าตัดอีกครั้ง ค่อยๆ เอ่ยด้วยสุ้มเสียงเศร้าสลดตาม "ถ้าต้องไม่กลับบ้านช้า ย่าก็คงไม่โดนทำร้ายแบบนี้..."              "ไม่ใช่ความผิดของเธอนะต้อง"                                          "ถ้าไม่มีย่าอยู่แล้ว ต้องจะอยู่ยังไง อยู่กับใคร..." เอ่ยถึงตรงนี้น้ำเสียงหญิงสาวใช้น้ำเสียงสั่นเครือ...                            ทรงโปรดจึงรับรู้ถึงความอ้างว้าง และหวาดกลัวจับใจที่หญิงสาวกำลังเผชิญหน้าอยู่ได้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเธอก็มีกันแค่สองคน คือย่ากับหลาน และในส่วนที่ทำให้ชีวิตของเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะ 'พวกเขา' อีกเช่นกัน นี่มันจึงเป็นความรับผิดชอบของเขาด้วย ที่จะต้องอยู่กับเธอเพื่อแบ่งเอาความทุกข์ในทุกวินาทีที่เธอเผชิญอยู่นี้ด้วย                                                                   ชายหนุ่มหลุบมองสองมือบางที่จับกันบนตัก ทรงโปรดอยากจะดึงเธอเข้ามากอดแนบอก เพื่อปลุกปลอบเธอว่า เธอยังมีเขาอยู่เสมอ เขาจะอยู่ตรงนี้เพื่อเธอ มือข้างหนึ่งของทรงโปรดค่อยๆ เอื้อมไปหวังจะจับมือเธอแทนการดึงตัวเข้ามากอด เกือบจะสัมผัสมือนุ่มนิ่มข้างนั้นอยู่แล้ว ประตูห้องผ่าตัดก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วลุกไปยังร่างสูงในชุดสีเขียวนั้นทันที                                                                 "คุณหมอคะ! ย่าของต้องเป็นยังไงบ้างคะ"                         "การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีนะ แต่...ก็ยังต้องดูอาการคนเจ็บวันต่อวันนะ..." คุณหมอคนเดิมเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ พลางหันไปสบตากับทรงโปรด ชายหนุ่มจึงพยักหน้าขรึมๆ รับด้วยความเข้าใจ แล้วคุณหมอคนเดิมก็ขอตัวออกไป                                             ต้องมนตร์ยังยืนร้องไห้เงียบๆ และบ่ากว้างนั้นก็ขยับมารับศีรษะของหญิงสาวอย่างรู้จังหวะพอดี เธอซบลงกับบ่าของเขา ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปอีกครั้ง รับรู้ขึ้นมาแล้วว่า แม้จะเผชิญกับช่วงเวลาเลวร้าย เธอก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเลย...                    ทรงโปรดพาต้องมนตร์มาพักที่คอนโดหรูของเขา ทีแรกหญิงสาวก็ยืนกรานที่อยู่ใกล้กับย่าของเธอ แต่เขาก็ทั้งขู่ทั้งปลอบว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอาตัวเองไปทรมานแบบนั้น หญิงสาวควรมาพักผ่อนให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้เธออยากจะอยู่ใกล้ๆ กับย่าของเธอทั้งวันเขาจะไม่ห้ามเลย หญิงสาวอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนอีกห้อง ทีแรกกว่าจะข่มตาหลับได้ก็แสนยาก พอจะผล็อยหลับเธอก็ผวาตื่นทุกครั้งกับภาพของย่าที่นอนจมกองเลือด ทรงโปรดที่ห่วงหญิงสาวตลอด เขาไม่ได้อยู่ห่างเธอเลย เขายื่นยาที่มีส่วนผสมของคาโมมายล์ที่สามารถหาซื้อหาได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ให้เธอกินเพื่อจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และมันก็ได้ผล เธอกินไปไม่ถึงสามสิบนาทีก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไปอย่างช้าๆ                                  ทรงโปรดภาพของหญิงสาวที่นอนหลับสนิทตรงหน้าด้วยความโล่งใจขึ้น ก่อนจะออกจากห้องเธอ เขาบรรจงห่มผ้าให้อย่างเบามือ พร้อมกับสำรวจอุณหภูมิภายในห้องนี้ว่าจะไม่ร้อนหรือเย็นเกินไปสำหรับเธอ จากนั้นก็ตัดใจพาตัวเองออกจากห้องนี้ไปอย่างช้าๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD