“ฝันถึงยัยนั่นล่ะสิ เรื่องนั้นหรือไง?”
“มึงหุบปากไปเลยไอ้ตัง กูอุตสาห์ลืมไปได้แล้วนะ... กลับมาทำซากอะไร โด่งดังไกลแล้วไม่ใช่หรือไงกัน”
“แหม ก็ต้องกลับมาเซ็นสัญญาต่อหรือเปล่า? รับงานต่างประเทศที่ไม่ได้เซ็นสัญญาตายตัว มึงคิดว่าจะอยู่รอดปะล่ะ” ไอ้ตังสูบบุหรี่ตามผม และนั่งมองออกไปนอกระเบียงที่เห็นวิวทะเลยามเช้า
“แล้วมึงไม่มีงานเช้า?”
“ไม่อะ กูมีงานเข้าตอนบ่าย ไปถ่ายแบบที่ต่างจังหวัดหลายวันอะ”
“ชิ กูแม่งได้แต่งานถ่ายที่บริษัท ลำไยสัด!”
“แหม ก็ดีไม่ใช่หรือไง สบายจะตายไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปๆ มาๆ แบบกู เหนื่อยฉิบหาย” ผมนั่งสูบบุหรี่จนหมดมวนสักพักพี่จอยที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวก็โทรตามผมยิกเลย ผมขับรถตรงกลับมาถึงคอนโดของตัวเองอาบน้ำและแต่งตัวเตรียมเข้าบริษัท เมื่อมาถึงบริษัทผมก็เดินตรงไปหาพี่จอยที่ยืนรออยู่แล้ว
“น้องโซลมาช้าจังนะคะ ตอนนี้กำลังจะประชุมกันเรื่องงานใหม่นะคะ”
“แล้วไงล่ะครับ แค่สิบนาทีเอง” พี่จอยกุมขมับทันทีก่อนจะเดินนำผมไปที่หน้าลิฟต์ ขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการ เมื่อมาถึงประตูห้องเปิดขึ้นพร้อมกับคณะกรรมการและทีมงาน รวมไปถึงนายแบบ-นางแบบในสังกัด และมันก็เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกในรอบสองปีของผมกับ...
ยัยพริกหวาน
เธอมองสบตากับผมด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง เบ้ปากด้วยใบหน้าที่หยิ่งจองหอง เธอสวมชุดเดรสสีดำ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เหมือนเดิมทุกอย่างเลยนะในระยะสองปีที่ไม่ได้เจอกัน ตั้งแต่ครั้งที่หล่อนหักหน้าผมและบินตรงไปทำงานที่ต่างประเทศ
“มาช้านะโซล”
“ขอโทษครับ พอดีตื่นสาย” น้ำเสียงเรียบๆ ดังขึ้นที่หัวโต๊ะ ไม่ใช่ประธานบริษัท แต่เขาเป็นกรรมการบริษัทที่ทั้งประธานและรองประธานต่างไว้วางใจให้ทำงาน เพราะเขาเป็นคนของตระกูบชนะศึกนี่นา เขาเป็นน้องชายของประธานบริษัท รู้สึกจะเป็นน้องชายคนเล็กสุดเพราะเขาเพิ่งจะอายุแค่สามสิบสองปีเท่านั้น ทั้งที่ประธานของบริษัทอายุก็ปาเข้าไปจะห้าสิบปีแล้ว ส่วนลูกชายของประธานที่เป็นรองประธานรู้สึกว่าจะไปดูแลภรรยาของตัวเองที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ และตัวของเขาคุณนพหรือพี่นพ ก็เลยทำหน้าที่นี้แทน ที่สำคัญเขายังมีงานอดิเรกคือเป็นตากล้องจำเป็นเวลาช่างภาพไม่ว่างด้วย
“คราวหน้าถ้าตื่นสาย ฉันจะซื้อนาฬิกาปลุกให้นายสักสิบเรือน”
“คราวที่แล้วพี่นพก็ซื้อให้ผมตั้งห้าเรือแล้วนะ”