ราวหนึ่งอาทิตย์ที่ซิ่นหนิงเยว่ยังให้คำตอบกับตนเองไม่ได้ ว่าเหตุใดตนเองนางต้องถอดกำไลให้แก่ชายพิการผู้นั้น อาจเป็นเพราะเขาเป็นสหายชายผู้เดียวที่นางเคยมี หรือเขารับฟังสิ่งที่นางระบายออกมา เหมือนนางได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดแน่นในใจให้พอทุเลาลง จะว่านางคิดเสียดายกำไลหยกนั้นก็นึกเสียดายอยู่บ้าง เพราะมันอยู่ติดตัวนางมาตั้งนาน แม้จะไม่ทราบว่ากำไลนั้นนางได้มาอย่างไร แต่ในเมื่อถอดออกแล้วและยัดใส่มือเขาไปแล้ว ครั้นจะทวงคืนย่อมไม่งามแน่
"คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ"
"อืม ขอบใจ"
"งดงามยิ่งนักเจ้าค่ะคุณหนู นับวันฝีมือของคุณหนูยิ่งก้าวหน้ามากเลยนะเจ้าคะ แต่บ่าวรู้สึกแปลกใจยิ่ง เหตุใดบ่าวไม่เคยเห็นคุณหนูวาดภาพแบบนี้มาก่อน" ซิ่นหนิงเยว่ยิ้มตอบ แต่นางคงไม่ตอบแน่ว่านางได้เรียนรู้วิธีการวาดภาพนี้มาจากที่ใด คำตอบย่อมอยู่ในใจนาง นางฝึกไม่ยากด้วยพื้นฐานของการเป็นคุณหนูใหญ่ที่ต้องเรียนศาสตร์ของสตรีอยู่แล้ว เพียงแค่นางฝึกฝนเพิ่มเติม ก็ทำให้งานของนางโดดเด่นขึ้นมา
"เจ้าอยากเรียนด้วยหรือไม่เล่า หยวนเพ่ย ข้าจะสอนให้"
"บ่าวไร้ฝีมือเจ้าค่ะ แค่ดูคุณหนูวาดแค่นี้บ่าวก็รู้สึกปลื้มใจแทนแล้วเจ้าค่ะ" หยวนเพ่ยตอบนายผู้เป็นที่รัก จู่ๆ นางก็คิดอะไรได้บางอย่างจึงเอ่ยขึ้นให้ผู้เป็นนายรับทราบ
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่ลองถามฮูหยินผู้เฒ่าบ้างหรือเจ้าคะ ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพถึงไม่กลับจวนเลย" หยวนเพ่ยเอ่ยขึ้น คล้ายจะเตือน
ซิ่นหนิงเยว่อยู่บ้าง ถึงไม่รักแต่ต้องรู้หน้าที่ หากมีการถามไถ่สักวันความรู้สึกบางอย่างต้องก่อตัวขึ้นในไม่ช้า
"ไม่ใช่ธุระของข้าเสียหน่อย" นางตอบกลับไม่หยวนเพ่ยทันที โดยไม่หันกลับมามองว่าหยวนเพ่ยจะแสดงอาการอย่างไร ไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่สาวใช้ถาม หากแต่นั่นกลับจะทำให้ทั้งเขาและนางเกิดความหงุดหงิดใจได้
"แต่ว่าคุณหนู... คุณหนูควรจะไต่ถามบ้างนะเจ้าคะ คุณหนูเป็น
ฮูหยินของท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ"
"แล้วตอนที่ข้านอนหายใจรวยระริน เขาเคยมาดูข้าหรือไม่เล่า? พอเถอะ เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเขาให้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเลย"
"เจ้าค่ะ คุณหนู" หยวนเพ่ยตอบคำด้วยใบหน้าสลด นางอยากให้คุณหนูเป็นที่หนึ่งในใจท่านแม่ทัพบ้างแม้เพียงนิดก็ยังดี สามีภรรยาควรรักใคร่ปรองดองกัน นี่อะไรตั้งแต่นายของตนแต่งเข้าสกุลจาง คุณหนูไม่เคยไปหาท่านแม่ทัพ และท่านแม่ทัพก็ไม่เคยจะปรายตามองคุณหนูเลย แล้วเมื่อไหร่ชีวิตของคุณหนูของนางของตนจะมีความสุขเสียที
ซิ่นหนิงเยว่กำลังวาดภาพที่ศาลาแปดเหลี่ยมหลังจวน โดยมีสาวใช้ปรนนิบัติไม่ห่างกาย ถึงแม้นางจะโดนซิ่นหนิงเยว่ดุไปบ้าง แต่หยวน-เพ่ยก็มิเคยต่อว่านายสาวในใจ บรรยากาศกำลังเย็นสบาย แต่อารมณ์ของซิ่นหนิงเยว่หมดไป เพราะหรงเซียะเหม่ยปรากฏตัวขึ้นพร้อมสาวใช้ข้างตัวกาย
"ฮูหยิน ข้าตามหาท่านอยู่นาน ที่แท้อยู่ที่นี่เอง"
"เจ้ามีอะไรกับข้า" นางเพียงแค่ปรายตาไปมองหรงเซียะเหม่ย แล้วจึงหันมาสนใจภาพวาดของตนเองตรงหน้า ส่วนและมือก็ตวัดพู่กันวาดดังเดิม ราวกับการมาของสตรีผู้หนึ่งไม่สลักสำคัญใดๆ ต่อนางนัก
"เป็นวาสนาของข้าโดยแท้ที่ได้เห็นฝีมือวาดภาพของฮูหยิน ช่างงดงามจริงแท้"
"ข้ามิได้แตกตื่นเมื่อมีคำยกยอตนเอง หากเจ้ามาเพื่อการนี้ก็จงกลับไปซะ"
"เหตุใดฮูหยินช่างใจร้ายใจร้ายนักเล่าเจ้าคะ ข้ามาที่นี่ด้วยมีเรื่องอยากจะสนทนากับท่าน"
"เรื่อง?"
"เอ่อ..." หรงเซียะเหม่ยอึกอัก ไม่กล้าเอ่ย เพราะเห็นว่าตนไม่ได้อยู่ลำพังกับซิ่นหนิงเยว่ นางรู้สึกรับรู้ถึงความลำบากใจของหรงเซียะเหม่ย
"อะไร?เรื่องนี้สำคัญจนบ่าวไพร่อยู่ด้วยไม่ได้เลยหรือ แต่เอาเถอะ! คงสำคัญมากจนต้องมาหาข้า" นางมองไปยังสาวใช้ข้างกาย
"พวกเจ้าออกไปก่อน" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยไล่สาวใช้ให้ออกไปรอด้านนอกศาลา
"เจ้าค่ะ ฮูหยิน" หยวนเพ่ยและสาวใช้ข้างตัวของหรงเซียะเหม่ยย่อกายและเดินออกจากศาลาแปดเหลี่ยมไป เพื่อให้นายสาวของตนทั้งสองได้สนทนากัน เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้ว ซิ่นหนิงเยว่จึงเอ่ยถามความประสงค์ของหรงเซียะเหม่ย
"พวกนางออกไปแล้ว เจ้ามีอะไรก็พูดมา" นางรีบเอ่ยขึ้นทันที
"ข้าอยากจะมาขอโทษเจ้าเรื่องหนังสือหย่านั่น และก็พูดจากับเจ้าไม่ดีในวันนั้น ข้าผิดเองที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์" แววตาจริงใจฉายแววออกมาจากนัยน์ตาของหรงเซียะเหม่ย แต่ไม่ใช่ว่าซิ่นหนิงเยว่จะเชื่อ จิตมนุษย์หยั่งลึกเกินไป
"หึ! ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง แล้วถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าไม่ให้อภัยเจ้าล่ะ?"
"ข้ารู้ว่าข้าทำผิด คิดไม่รอบคอบ ยื่นมือเข้ามาแส่ในเรื่องนี้ ข้าจึงอยากขอโทษเจ้าด้วยใจจริง"
"เอาเถอะ ข้าก็ไม่อยากติดใจอะไรกับเจ้านัก ใครๆ ก็ทำพลาดกันได้ทั้งนั้น หากพลาดครั้งแรกย่อมสมควรให้อภัยหากแต่พลาดหลายครั้งนั่นคือจงใจ แค่นี้ใช่ไหมธุระของเจ้า"
"เอ่อ..…ความจริงยังมีอีกเรื่อง คือว่า...ข้าอยากรู้ว่า เจ้าพอรู้ไหมว่าท่านแม่ทัพไปที่ใด เหตุใดถึงไม่กลับจวนบ้าง"
"ที่แท้จุดประสงค์หลักของเจ้าคือเรื่องนี้เอง แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วยเล่า?"
"เพราะ...."
"เพราะว่าเจ้าคือคนสำคัญของท่านแม่ทัพ?เจ้าจะบอกข้าอย่างนี้ใช่ไหม?" หรงเซียะเหม่ยมองหน้าซิ่นหนิงเยว่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงอย่างห้ามไม่อยู่
"เจ้าจงจำไว้ ข้าสำคัญกับเขามากกว่าเจ้าที่เป็นอนุ แต่หากเจ้าอยากจะเป็นคนสำคัญของเขาล่ะก็ เรื่องนี้ไม่ยากเลย อาจู..."
"เสียงของซิ่นหนิงเยว่ที่เอ่ยชื่อวิญญาณภายในร่างของหรงเซียะ-เหม่ย ทำให้นางรู้สึกร่างกายหนาวเหน็บเหลือเกิน มือขาวเรียวค่อยๆ วางพู่กันลง แล้วหันมาเผชิญหน้ากับสตรีด้านหลังตน นางปรายตามองเพียงครู่ ก็พาร่างอรชรมานั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์
"อยู่ที่นี่ เจ้าคงคุ้นชินแล้วสินะ ปรับตัวง่ายเสียจริง"
หรงเซียะเหม่ยมานั่งลงฝั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่เอ่ยตอบอันใด ทำเพียงมองหน้าซิ่นหนิงเยว่ ส่วนซิ่นหนิงเยว่ก็ยังไม่พูดอะไรมาก เพราะอยากจะดูทีท่าของอีกฝ่ายว่าจะเป็นไปตามที่นางคิดหรือไม่
"ข้ารู้ว่าการเป็นรองสตรีนางอื่นของบุรุษที่รักมันแสนเจ็บปวด แต่ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าอดทนเรื่องนี้ได้ไม่ยาก" หรงเซียะเหม่ยเม้มปากแน่นอย่างลืมตัว ซิ่นหนิงเยว่ออกเสียง "หึ!" ในลำคอ พร้อมยกชาจดริมฝีปากดื่ม ด้วยนางย่อมรู้ความลับของนางได้ไม่ยากเย็น
"ท่านแม่ทัพจางมิใช่บุรุษเยี่ยงชายผู้นั้น นางใดที่ได้ชื่อว่าสตรีของเขา เขาย่อมดูแลสตรีของเขาอย่างดี พร้อมปกป้องราวหยกล้ำค่า ขนาดเจ้าของร่างเดิมที่เจ้าอาศัยอยู่ เมื่อยามป่วย เขายังไหว้วานหมอหลวงมาตรวจดูอาการเลย" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทั้งที่วาจากล่าวเช่นนั้น แต่ในใจนางกลับคิดต่าง ราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงในหัวใจให้รู้สึกเจ็บแปลบ จะให้นางมิคิดได้อย่างไร เพราะนางนอนอยู่ที่เรือนร่วมสองเดือนเขายังไม่เคยมาเยี่ยมนางหรือแม้แต่เรียกหมอมาดูอาการนางเลยสักนิด