ด้วยความที่ซิ่นหนิงเยว่เป็นฮูหยิน นางสามารถเข้านอกออกในจวนท่านแม่ทัพได้อย่างไม่ยากลำบากนัก ทำให้นางได้ไปไหว้สุสานของมารดาบ่อยขึ้น รวมทั้งมีเวลาหาจวนหลังใหม่ให้ตนเอง
"หากท่านไม่ใช่ชายพิการคงงามสง่านะ" เขาหันมามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางอย่างฉงนสงสัย ก่อนจะหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาเขียนข้อความบางอย่าง "เจ้าไม่มีสหายหรือ"
"ข้าเคยมีสหายกระมัง หากแต่เมื่อวัยเยาว์มักถูกผู้คนในจวนบอกว่าข้าฝัน...ข้าก็เชื่อว่าสหายข้าอยู่ในความฝันเพราะข้าจำอะไรไม่ได้เลย ใบหน้า น้ำเสียง ท่าทาง คำสนทนาหรือแม้แต่ว่าข้ารู้จักเขาได้อย่างไร แต่เวลานี้ข้ามีความสุขที่เจอสหายเช่นท่าน หลังจากที่ข้ามิได้คุยกับสหายของข้ามานานแล้ว ข้าเคยขอร้องให้เขามาหาข้า แต่ดูเหมือนฝันสุดท้ายเขาปฏิเสธ! และบอกให้ข้าหลับ หากเขามีตัวตนจริง...” นางพูดก่อนที่ใบหน้าจะไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีก นอกจากความขื่นขมที่ฉายแววออกมา เมื่อถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตน
"ท่านเคยมีความรักไหม ข้าหมายถึงระหว่างชายหญิง" นางหันไปถามเขา
"ข้าก็ไม่เคย ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติข้าจะได้เคยสัมผัสสิ่งนั้นหรือไม่ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังว่า ท่านแม่รักท่านพ่อ เพราะเขาเป็นหนุ่มรูปงาม ฉลาด ตอนนั้นท่านพ่อเอ่ยว่าท่านหลงรักท่านแม่คราแรกเห็น แต่เพราะครอบครัวของท่านพ่อยากไร้ มิมีปัญญาแต่งท่านแม่เข้าสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ไม่ได้ใหญ่นัก และนั่นก็เป็นความรักของสตรี มารดาเช่นนางจึงยอมคุกเข่าขอบิดาเพื่อแต่งงานกับเขา แต่สุดท้าย...ช่างเถอะอย่างไรเขาก็มีฮูหยินใหม่พร้อมอนุที่ปรนเปรอความสุขได้มากกว่ามารดาที่มีเพียงเงินทองแต่หามีอำนาจ" นางพูดและกล่าวจบอย่างเร็ว เพราะไม่อยากเล่าเรื่องในอดีตอีก
ชายผู้นั้นมองนางพร้อมขมวดคิ้ว แต่ภาพที่เขาเห็นคือนางกำลังแหงนหน้ามองฟ้า ที่เวลานี้มีนกบินล่องลอยไร้ซึ่งพันธนาการ
"ตอนที่ข้าหลับไปสองเดือนนั้น ข้าฝัน…ฝันนั้นทำให้ข้ารู้อะไรหลายๆ อย่างจากเรือนร่างที่เจ็บป่วย แม้จะน้อยนิด แต่ก็มากพอแล้ว" นางยิ้มโดยไม่มีความกังวลใดออกมาจากแววตาเลยแม้แต่น้อย
"ข้าต้องกลับแล้ว ต่อไปข้าจะสั่งให้คนนำอาหารมาให้ท่าน เพราะข้าคงจะออกมาบ่อยเช่นนี้ไม่ได้" นางหันมามองและเห็นเขาเขียนบางอย่างให้
"ไม่ต้องลำบากเจ้าแล้ว"
"มิเป็นไร ข้าเต็มใจ ท่านเป็นสหายข้า" เขาหยิบกิ่งไม้ เขียนข้อความเหมือนเดิม "ข้าจะต้องไปต่างเมือง"
"ท่านจะไปต่างเมือง แล้วจะกลับมาไหม" ซิ่นหนิงเยว่เห็นเขาไม่ตอบ นางจึงรับรู้คำตอบได้ด้วยตัวเองว่าไม่ นางยิ้มส่งให้เขา และคลำหาอะไรบางอย่างในตัว แต่ก็ไม่พบ และนึกอยู่เป็นนานจวบจนนางถอดกำไลหยกส่งมอบให้
"กำไลหยกวงนี้ข้ามอบให้ท่าน อย่างน้อยก็ช่วยให้ท่านไม่อด คราแรกข้าหาตั๋วเงิน แต่ข้าลืมไปว่าข้านำติดตัวมาเพียงนิดและเวลานี้อยู่กับสาวใช้ของข้า" นางจับข้อมือเขาแล้วยัดกำไลใส่มือให้ เห็นเขาพิจารณากำไลหยกนี้อยู่นาน และมองไปยังนัยน์ตาของซิ่นหนิงเยว่อย่างกังขา
นางนึกว่าเขาคิดว่านางสงสาร และคิดดูถูกว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถ พิการ พูดไม่ได้ แล้วนางยังนำของมีค่ามาดูหมิ่นศักดิ์ศรีเขา นางรีบแก้ต่างให้ตนเองก่อนที่ชายใบ้จะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
"ข้ามิได้ดูถูกท่าน กำไลหยกนี้แต่เดิมก็ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด แต่ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ…ข้าไม่เคยขโมยของใคร ข้าเคยถามมารดา นางบอกว่าไม่ใช่ของนาง จะเป็นบิดาให้ข้าน่ะหรือ...ไม่ต้องคิดเลย ชายผู้นั้นไม่เคยมอบสิ่งใดให้ข้า กำไลนี้ข้าได้ก่อนแต่งงาน จึงไม่ใช่ของสามีแน่นอน กำไลหยกนี้มารดาบอกว่าเนื้อดีมาก ถือว่านี่เป็นสิ่งตอบแทนจากสหายที่ท่านต้องทนฟังเรื่องไร้สาระของข้า กำไลหยกวงนี้อาจช่วยให้ท่านไม่ต้องอดอยาก แต่ระวังหน่อยนะ! หากท่านนำไปขาย คงต้องแต่งกายให้สะอาดกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้น ใครๆ จะคิดว่าท่านขโมยมา แทนที่ท่านจะได้เงินประทังชีวิตกลับต้องไปกินดินกินหญ้าที่คุกก็เป็นได้" นางกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป โดยมิหันกลับไปมองชายพิการที่ยืนมองนางเลยแม้แต่น้อย นั่นไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะนางไม่ชอบการลาจาก กว่าจะพบเจอสหายก็ต้องลาจากเมื่อคราหนึ่ง