ตอนที่ 10

1411 Words
ซิ่นหนิงเยว่ยังไม่มั่นใจในการมาของเขา นางมิได้มาที่นี่นานแล้ว หลังจากมารดาเสียไปได้หนึ่งปี จางหยูเยี่ยนก็แต่งอนุคนที่สี่เข้ามา นางยังไม่ต้องการให้ใครสงสัยมากนัก เดือนหนึ่งนางจะมาที่นี่สักครั้งแล้วรีบกลับเพื่อไม่ให้ผู้ใดสงสัย ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางก็นอนไม่ตื่นมาร่วมสองเดือน ผนวกกับพักรักษาตัวให้หายดี พอมีเรี่ยวแรงนางถึงมีโอกาสได้มาที่นี่อีกครั้ง สถานที่นี้เป็นอาราม ไม่ผิดที่จะมีคนไร้ซึ่งหลังคาคุ้มหัวมาอาศัยหลับนอนนอกอาราม เขาผู้นี้คงพูดไม่ได้กระมัง หากเขาจะเป็นผู้ร้ายนั่นก็ไม่เกี่ยวกับนาง หรือหากเขาจะฆ่านางนั่นยิ่งดีเสียอีก นางจะได้ไม่เปลืองแรงคิดฆ่าตัวตาย เพราะในโลกใบนี้นางก็เหมือนตัวคนเดียวอยู่แล้ว ติดแต่ที่มีหยวนเพ่ยอยู่ด้วยเท่านั้น เมื่อซิ่นหนิงเยว่คิดได้เช่นนั้น นางก็นั่งลงข้างหลุมศพของมารดาอีกครั้ง ภายใต้ความตกตะลึงของหยวนเพ่ย "คุณหนู!" หยวนเพ่ยไม่เข้าใจการกระทำของนายสาวนัก ชายผู้นั้นมาดีหรือมาร้ายก็หารู้ได้ แต่นายของตนไม่กริ่งเกรงใดๆ เลย "เจ้าไปรอข้า ข้าจะอยู่ตรงนี้ สนทนากับสหายผู้มาใหม่สักพัก" "แต่ว่าคุณหนู..." "หากเขาทำอะไรข้า เจ้าก็ทำหน้าที่ไปแจ้งคนของท่านแม่ทัพก็พอ หากเขายังมีความเป็นคนอยู่บ้าง วิญญาณข้าก็จะได้รับรู้ก่อนไปสู่ปรโลก ไปสิ!" "แต่ว่าคุณหนู... " "ไป! " "เอ่อ…เจ้าค่ะ" ซิ่นหนิงเยว่มองชายแปลกหน้าด้วยหางตา แต่มิเห็นว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดออกมา นางจึงสงบคำ แล้วนั่งนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ราวสองเค่อที่บุรุษแปลกหน้าและสตรีโฉมงามมิได้กล่าวสิ่งใดๆ บุรุษแปลกหน้าลืมตามองสตรีด้วยใบหน้านิ่งเฉย เขาทำลายความเงียบโดยหยิบกิ่งไม้ที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น แล้วจดปลายกิ่งไม้ลงพื้นดินเพื่อเขียนบางสิ่ง ซิ่นหนิงเยว่อ่านข้อความแล้วยิ้มให้ "ใช่! หลุมนี้เป็นหลุมฝังศพของมารดาข้าเอง" นางเอ่ยตอบ แล้วเห็นว่าเขาไม่ได้เขียนอะไรอีก นางจึงเอ่ยกับชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยน้ำเสียงใสกังวาน มีไมตรีจิตยื่นให้ "วันนี้ข้ามาไหว้มารดาหลังจากที่ไม่ได้มาเสียนาน หากท่านไม่รังเกียจว่าอาหารจะเย็นชืดหรือรสชาติไม่ถูกปาก อาหารที่อยู่ในตะกร้าใบนั้นข้ามิได้นำมาไหว้คนตาย ท่านหิวก็นำไปกินเถิด" นางเห็นเขามิตอบจึงลุกไปหยิบตะกร้านำอาหารมายื่นให้ เห็นเขาเขียนข้อความลงพื้นอีกครั้ง นางจึงยิ้มให้อีกครั้ง "มิต้องขอบใจหรอก และอีกอย่างข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ยินหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะมาไหว้ท่านแม่อีกครั้ง หากท่านยังอยู่ข้าจะทำอาหารมาเผื่อท่าน" นางพูดจบและเกรงว่าเขาจะไม่ได้ยิน จึงหยิบกิ่งไม้จากมือเขาอย่างไม่รังเกียจว่าจะสกปรกเหมือนเสื้อผ้าหรือผิวกายเขา เขียนข้อความบอกว่านางจะมาใหม่ แล้วจึงหมุนกายจากไป ปล่อยให้ชายแปลกหน้ามองตามร่างนาง วันรุ่งขึ้นเป็นไปตามที่ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยไว้ นางมาไหว้หลุมศพมารดาอีกครั้ง และครั้งนี้นางก็ทำอาหารมาเผื่อสหายคนใหม่ แต่นางกลับไม่เห็นแม้เงาของเขา เมื่อมิเห็นนางก็มิเอ่ยสิ่งใด คงเข้าไปกอดหลุมมารดาพร้อมยกจอกเหล้าดื่มเหมือนเดิม ระหว่างนั้นไม่นาน ชายแปลกหน้าก็ค่อยๆ เดินมาโดยมีไม้เท้ายันประคองตัว มือข้างหนึ่งถือตะกร้าแนบมาด้วย ซิ่นหนิงเยว่เห็นก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้สหายใหม่ของนาง "ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียอีก มิเช่นนั้นคงเสียดายอาหารแย่เลย" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยขึ้น และเห็นชายผู้นั้นเดินมานั่งลง แล้วยื่นตะกร้าอาหารเมื่อวานที่ล้างทำความสะอาดแล้วส่งให้ โดยล้างทำความสะอาดเรียบร้อย เห็นดังนั้นนางเห็นก็ยิ้มให้ "เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่" เขาพยักหน้ารับ "เช่นนั้นเจ้าก็พูดไม่ได้สินะ เพียงแต่ได้ยิน ก็ยังดีที่ข้าไม่ต้องทนสนทนากับเจ้าโดยการเขียน เพราะไม่เช่นนั้นคงลำบากน่าดู" นางเอ่ยพร้อมยิ้มออกมา ดวงตาหวานเยิ้มเพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปไม่รู้กี่จอก ซิ่นหนิงเยว่รินเหล้าให้เขาและตัวเอง แต่เขาไม่แตะสักนิด ทำเพียงมองนางนั่งดื่ม แล้วหยิบกิ่งไม้ขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง นางเหลือบมองอักษรที่ไม่ได้งดงามนักและยิ้มตอบ "ข้าเริ่มดื่มครั้งแรกก็ก่อนแต่งงาน ตอนนั้นข้าอายุเพียง 14 ดื่มเพราะต้องกล้าทำบางอย่างที่จำต้องฝืนใจ โดยมีผู้คุมคอยรินให้ข้าดื่มไม่ห่างกาย ครั้งที่สองเป็นเหล้ามงคล อีกครั้งก็ตอนที่เจ้าเห็นนี่แหละ" ตอบจบนางก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นจดที่ปากเพื่อเตรียมจะดื่มอีกครั้ง เมื่อเหลือบตาไปเห็นเขาเขียนถามบางอย่าง นางก็ตอบ "ข้าดื่มหาใช่เพราะชื่นชอบในรสสุรา แต่ดื่มเพราะข้าอยากลืมบางสิ่ง" นางเริ่มเมาแล้วเพราะดื่มไปมากพอดู จึงเริ่มพูดมากยิ่งขึ้น "ข้ารู้สึกดีจังที่เจ้าพูดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าข้ารู้สึกยินดีต่อความทุกข์ของผู้อื่นหรอกนะ เพียงแต่ข้าต้องการสหายคอยรับฟัง ใครสักคนที่พอจะฟังข้าบ้าง นอกจากหยวนเพ่ย" นางเห็นเขามิมีสีหน้าประหลาดใจจึงเอ่ยถาม "ข้าซิ่นหนิงเยว่ แล้วท่านชื่ออะไร" นางรอคำตอบ แต่เขามิขยับมือเขียน "ขอโทษที่เสียมารยาท ข้าลืมไปว่าการเป็นสหายไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อแซ่" นางพูดไปก็รินเหล้าให้ตัวเองไป และเหลือบมองถ้วยเหล้าที่เขายังไม่ได้แตะ แต่ก็มิได้เอ่ยต่อว่าเขา "ท่านรู้อะไรไหม ข้าเกือบตายไปแล้วนะ หลับไปถึงสองเดือน แต่สองเดือนนี้ผู้ที่เป็นสามีไม่เคยมาเยี่ยมข้าเลยสักครั้ง ข้าย่อมรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร ช่างน่าขายหน้านัก ข้าถูกบังคับให้แต่งงานกับชายที่ข้ายังไม่เคยเห็นหน้า เพียงเพื่อความปรารถนาของบุรุษผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา ข้าจะไม่ยินยอมก็ได้ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าบิดาข้าทำสิ่งใด" นางหันไปมองบุรุษผู้ที่นิ่งฟังนาง เห็นเขาส่ายศีรษะ "แน่นอน! ท่านย่อมไม่รู้ ขนาดข้านึกว่าเขาจะทำร้ายข้า ตบตีข้าเหมือนเช่นทุกครั้ง และทุกครั้งที่เขาตีข้าแม่ข้าจะเป็นคนปลอบข้า โอบกอดข้าด้วยสองแขน มันอุ่นมากเลยรู้ไหม...แต่เปล่าเลย ครั้งนี้เขาไม่ตีข้า ไม่แตะตัวข้าเลยสักนิด เขาตรงไปยังมารดา และบีบคอนางต่อหน้าข้า โดยมีฮูหยินรองที่บิดาข้าเทิดทูนบูชากับบุตรีที่รักสุดใจยืนมองดูเหตุการณ์ด้วย หากข้าไม่ร่วมแผนการขึ้นเตียงกับเขา ชายผู้นั้น...ที่ในเวลานี้คือสามีของข้า ชีวิตมารดาข้าก็ต้องตาย... "แต่สุดท้าย...นางก็ต้องตาย ตายโดยที่ข้าช่วยอะไรนางไม่ได้เลย นางคิดว่าการที่ข้าได้แต่งออกสกุลซิ่นคือหนทางรอดจากเงื้อมมือบิดา สามีที่ได้ตำแหน่งแม่ทัพจะหนุนหลังปกป้องข้า หากข้ามีภยันตราย แต่ไม่เลย คนที่ปกป้องข้าได้คือตัวข้าเอง" นางเล่าไปพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้จบเป็นสายธารที่อาบแก้ม ก่อนที่จะร่วงหล่นลงสู่ธรณี และนี่เป็นเหตุผลที่นางไม่อยากให้ร่างที่ไร้วิญญาณของมารดาต้องตายเป็นผีสกุลซิ่น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD