ด้านซิ่นหนิงเยว่ไม่พอใจกับคำตอบของหรงเซียะเหม่ยเอามากๆ นางนี่นะจะต้องอาศัยร่างของหรงเซียะเหม่ยเพื่อปกป้องตนเอง โดยอ้างว่านางอาศัยความโปรดปรานของหรงเซียะเหม่ยเพื่อให้ตัวนางเองได้ออกไปนอกจวน นางเป็นถึงฮูหยิน แม้จะในนามก็เถอะ แต่ฮูหยินจะไปที่ใดก็ได้ แม้แต่การออกนอกจวนก็สามารถออกทางหน้าจวนได้ มิใช่อนุที่หามีสิทธิ์ใดๆ แต่เพราะจวนนี้มิเข้มงวดเหล่าอนุจึงทำตามใจอย่างไรก็ได้
"ข้าจะไปเผากระดาษเงินกระดาษทองพร้อมบุรุษรับใช้ให้สตรีนางหนึ่งที่ข้าเคยรู้จัก สตรีผู้นั้นมีความสำคัญกับข้าเชียวล่ะ เจ้าจะไปด้วยหรือไม่? เผื่อความกตัญญูครั้งนี้จะส่งผลให้คนผู้นั้นรับรู้และเอ่ย ‘ขอบคุณ’ ดีกว่าจะทวงคำว่า ‘อุตส่าห์เลี้ยงมา’ "
คำพูดนี้ทำให้หรงเซียะเหม่ยถึงกับกำมือ เงยหน้ามองด้วยแววตาไม่พอใจยิ่ง คำพูดที่กล่าวมาไม่ใช่ต่อว่านางหรอกหรือ นางก็เป็นแค่วิญญาณที่มาอยู่อีกร่างหนึ่งเท่านั้น เพียงเสี้ยวที่ความยับยั้งชั่งใจที่หมายจะทำดีด้วยได้ขาดสะบั้นลง อาจูเกลียดที่สุดคือคนที่ดูถูกนาง ไมตรีที่นางต้องการสร้างขึ้นกับซิ่นหนิงเยว่ไม่หลงเหลืออีกต่อไป ในเมื่อคนตรงหน้าไม่รับไมตรีของนาง จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามก็อย่าหวังว่านางจะรามือให้อีกต่อไป เมื่อระลึกได้เช่นนั้นหรงเซียะเหม่ยจึงเดินเข้ามาประชิดตัวของซิ่นหนิงเยว่และกระซิบข้างหู
"เผาเผื่อตนเองด้วยเล่า จะได้มีเหมือนข้า ไม่ต้องบ้าปลิดชีพตนเอง" นางพูดจบโดยไม่รอให้ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยตอบ แล้วก็รีบสาวเท้าเดินจากไป โดยมีสาวใช้เดินตามไปติดๆ มีเพียงซิ่นหนิงเยว่ที่มองด้วยแววตาจงเกลียดจงชังสตรีผู้นั้นเหลือเกิน
อารามหลู่หย่วนเป็นอารามสำหรับผู้ทรงศีล จึงอยู่ห่างไกลผู้คนเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนมาสักการะกราบไหว้พระโพธิสัตว์อยู่เนืองๆ ซิ่นหนิงเยว่เดินอ้อมไปหลังอารามที่ไร้ผู้คนเดินผ่าน นางหยุดยืนอยู่ตรงที่หนึ่ง บริเวณนั้นมีที่ดินราบเรียบ มีพงหญ้าเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ ซิ่นหนิงเยว่ก้าวเดินไปยังบริเวณหนึ่งที่พื้นที่นูนขึ้นพร้อมมีแผ่นป้ายปักอยู่ หยวนเพ่ยวางตะกร้าอาหาร โดยมีซิ่นหนิงเยว่ปัดกวาดเศษใบไม้บริเวณนั้นจนสะอาด
"หยวนเพ่ย" ซิ่นหนิงเยว่หันใบหน้าไปทางสาวใช้เพียงเล็กน้อย
สาวใช้คู่กายขานรับแล้วหมุนตัวกลับไป ปล่อยให้นายสาวอยู่บริเวณนั้นตามลำพัง โดยที่นางไม่ได้ออกห่างจนไกลสายตา
อาหารถูกจัดวางลงอย่างละเล็กละน้อย โดยที่นางมิได้รีบร้อนจัดแต่อย่างใด กาเหล้าพร้อมถ้วยสำหรับดื่มถูกซิ่นหนิงเยว่ยกออกมาในตอนท้าย ใบหน้ายิ้มอย่างพึงใจ
"ท่านแม่ ข้าทำอาหารมาไหว้ท่านแม่เจ้าค่ะ" นางจุดธูปดอกหนึ่งปักลงที่หน้าป้าย
"ข้าไม่ได้มาเสียนาน ข้าขอโทษท่านแม่ด้วยเรื่องป้ายวิญญาณของท่าน อย่าได้เคืองบุตรผู้อกตัญญูผู้นี้เลยนะเจ้าคะ ลูกมิสามารถลงนามจริงของท่านได้ เพราะหากเมื่อใดที่บุรุษผู้นั้นรู้ละก็ ชีวิตข้าคงหาความสงบสุขได้ยากยิ่ง แค่นี้ข้าก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยที่หาญกล้าแอบให้คนลักลอบนำศพท่านออกมาจากสุสานสกุลซิ่น แต่ข้ามั่นใจอยู่เจ็ดส่วนว่าท่านคงชอบชื่อนี้ เพราะท่านคือท้องฟ้าของข้าอย่างไรเล่าท่านแม่" นางพูดพร้อมค่อยๆ รินเหล้าลงถ้วยวางไว้หน้าหลุมศพ จากนั้นก็รินเหล้าลงอีกถ้วย ทว่านางมิได้รินให้แก่ผู้ใด มือน้อยค่อยๆ ยกถ้วยเหล้านั้นขึ้นดื่มด้วยท่าทางสบายอารมณ์
"ข้าไม่เคยดื่มหรอกท่านแม่ วันนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ข้าจะดื่มทดแทนที่ข้าห่างหายท่านไปเสียนาน" ว่าแล้วนางก็จดปากจอกเหล้ายกขึ้นดื่มขึ้นอีกครั้ง นางวางจอกเหล้าลงกับพื้นเมื่อเหล้าหมดจอกแล้ว และอ้อมไปยังหลุมศพ ทรุดตัวลงนั่ง เอนกายโอบกอดพื้นดินที่นูนขึ้น
"ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านแม่” น้ำตาของซิ่นหนิงเยว่ค่อยๆ ไหลลงพื้นดินทีละหยด แต่กลับไร้สุ้มเสียงสะอื้นไห้
"ท่านไม่ต้องกังวล สามีดีต่อข้ามากเจ้าค่ะ ท่านแม่ เขาไม่เคยแตะต้องข้าเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจความเป็นอยู่ของข้าสักนิด ท่านว่าดีหรือไม่ ท่านรู้ไหมว่ามันดีแค่ไหน อีกอย่างข้าสามารถออกมาหาท่านได้ทุกเมื่อยามที่ข้าต้องการ เพราะเขาจะไม่วุ่นวายไต่ถามให้ข้าตอบคำแน่เจ้าค่ะ แต่หากเป็นท่านแม่ ถ้าข้าออกไปนอกเรือนของท่านแม้แต่ก้าวเดียว ท่านคงไต่ถามข้าราวกับข้าทำความผิด หรือข้าจะหายไปเช่นนั้นแหละ ท่านช่างทำให้ข้าพะวงทุกคราวจริงๆ เจ้าค่ะ" หลังจากที่นางเงียบไปนานพลันน้ำตาที่ไหลก็หยดซึมลงที่พื้นดิน นางถึงเอ่ยคำขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขื่น
"ข้าคิดถึงท่านแม่จริงๆ เจ้าค่ะ คิดถึงแทบขาดใจ"
นางโอบกอดหลุมศพที่หาได้กอดกลับนางได้ น้ำตาค่อยๆ เลือนจางหายไป ทว่าใบหน้ายังยิ้มเมื่อผู้โอบกอดคิดว่ามีผู้ฟังนอนอยู่ใต้พื้นดิน รู้สึกอบอุ่นในหัวใจดวงน้อยๆ คล้ายได้รับการโอบกอดจากอกอุ่นของผู้เป็นแม่จริงๆ อ้อมแขนที่เคยโอบกอดนางยามหลับสู่นิทราหรือคอยปลอบนางนั้นช่างอบอุ่นยิ่ง จวบจนเสียงหนึ่งทำให้ซิ่นหนิงเยว่สะดุ้งตกใจ พร้อมการมาของหยวนเพ่ยที่วิ่งเข้ามาหมายจะปกป้องนายของตน
"คุณหนู" หยวนเพ่ยตะโกน พร้อมกับที่ซิ่นหนิงเยว่ลุกจากหลุมศพ ชายแต่งกายมอซอ ใบหน้าดำคล้ำไปด้วยฝุ่นดิน เดินถือไม้เท้ายันตัวเองตรงมาที่ซิ่นหนิงเยว่ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แต่ดูท่าเขาจะเดินลำบาก ใบหน้าจดจ้องมาที่ซิ่นหนิงเยว่ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
"เจ้าเป็นใคร" ด้วยตระหนกตกใจกับการมาของชายท่าทางพิการ ทำให้ซิ่นหนิงเยว่อดที่จะถามไม่ได้ แต่ชายดังกล่าวกลับไม่ตอบสิ่งใด กลับเดินเข้ามาและค่อยๆ ย่อกายลงนั่ง ทำให้ซิ่นหนิงเยว่อดแปลกใจไม่ได้ว่าเขามาดีหรือมาร้ายประการใด
"คุณหนูกลับเถิดเจ้าค่ะ" หยวนเพ่ยเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
แต่ซิ่นหนิงเยว่กลับไม่ก้าวขาตามคำของหยวนเพ่ย กลับยืนมองท่าทางของชายแปลกหน้าที่ไม่เอ่ยใดๆ คล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด เขาเอาแต่จ้องพวกนาง นางก็จ้องกลับไปยังดวงตาดำขลับคู่นั้น
"เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หรือ" ซิ่นหนิงเยว่ถาม แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงผู้มาใหม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาฟังคำถามนางสักพักและนั่งหลับตา ดูคล้ายเขาเหนื่อยจากการเดินเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ และที่แห่งนี้อาจเป็นของเขาไปแล้วก็ได้ในช่วงเวลาที่นางไม่ได้เหยียบเท้าเข้ามา