“อย่าให้หลงทางล่ะ รู้ใช่ไหมต้องไปที่ไหน” เจ้ปลาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
ลอออรพยักหน้ารัวๆ แค่คิดว่าจะได้ออกไปด้านนอกก็ตื่นเต้นแทบบ้า
“นี่โทรศัพท์เจ้ พอไปถึงก็โทร. หาคุณทิโมธีน่ะ เขารอเอาเอกสารให้”
เจ้ปลาส่งโทรศัพท์ของตนเองให้ พร้อมกับย้ำกับลอออรอีกครั้ง
ลอออรพยักหน้ารับ เธอรีบออกจากห้องพักเพื่อไปรับเอกสารแทนเจ้ปลา มีความตื่นเต้นวิ่งพล่านในเส้นเลือดนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอกำลังเดินท่อมๆ อยู่ในเมืองใหญ่อย่างปารีส ผู้คนหลายสัญชาติเดินสวนกันจนตาลาย ลอออรมองหารถประจำทางเพื่อโดยสารไปที่ซาลู เธอสาวเท้าเดินตรงไปที่จุดจอดรถประจำทาง ใช้เวลารอไม่นานเลยสำหรับรถประจำทางสายที่รอแล่นเข้ามาจอด
เธอเดินตามผู้โดยสารคนอื่นขึ้นไปด้านบน หลังชำระค่าโดยสารลอออรกวาดตามองหาที่นั่ง เธอได้ที่นั่งติดกระจกค่อนไปทางด้านหลัง ผู้โดยสารท่านอื่นนั่งเงียบๆ คงเป็นความเคยชินของพวกเขา แต่ลอออรไม่ เธอตื่นเต้นจนหัวใจแทบระเบิด ทิวทัศน์สองข้างทางทำให้เธอตื่นตาตื่นใจ ลอออรรีบพิมพ์ภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ
มันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอกที่เธอจะมาเยือนฝรั่งเศสหรอก ตราบใดที่ความฝันของเธอยังไม่สัมฤทธิผล
สมุดเล่มเล็กที่ลอออรมักจะจดบันทึกความประทับใจของตัวเองลงไป เธอล้วงออกมาสเกตสิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมอง เพราะบางทีเธออาจจะใช้สิ่งเหล่านี้สานฝันเพื่อตัวเอง
ประสบการณ์ลอออรยังน้อย เธอยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่ลอออรไม่เคยท้อ คงมีสักวันแหละที่เธอจะเดินไปถึงจุดหมาย
บิลบร์อดบนอาคารหลังใหญ่กำลังฉายภาพของใครบางคน แปร่งๆอรมองตาค้าง ชายผู้นั้นมีเสน่ห์เสียจนเธอเกือบลืมหายใจ เขาไม่ใช่ใครเลย ผู้ชายคนนั้นคือเควิน ดิดิเย่ร์ ขาสวมชุดสีดำเป็นประจำ แต่ไม่เหมือนคนอื่นหรอก ทุกชุดที่เควินใส่ถูกออกแบบตัดเย็บจากดีไซเนอร์มือดีของซาลู หากเควินไม่ใช่CEO เขาเอาดีทางการเดินแบบก็คงทำเงินให้เควินไม่น้อย
แต่เพราะเควินมีสมองมากกว่าความหล่อเหลา เขาเป็นผู้บริหารที่มองการณ์ไกล เควินเดาความชอบของผู้หญิงถูกเสมอ เขารู้ใจพวกเธอ เหมือนกับไปนั่งอยู่กลางใจ
ท่าทางเคร่งขรึมของเขาเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้ตลอด แต่การเข้าถึงเขานั้นเป็นการยาก ชายผู้นั้นงานยุ่งแทบไม่มีเวลาส่วนตัว
ซาลูสร้างเมล็ดเงินมหาศาลให้กับเขา แต่เควินก็ยังขยันทำงานทุกวัน เขาทำงานเหมือนกลัวว่าตัวเองจะจากโลกนี้ไปในวันนี้พรุ่งนี้ คนในปารีสรู้ดี แต่ไม่มีใครห้ามเขาได้สักคน เควินกโหมทำงานหนัก แต่เวลาและความเหนื่อยล้ากลับทำร้ายเขาไม่ได้
ผู้ชายอายุสี่สิบบวกคนนี้ ยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม
ลอออรถอนใจดังเฮือก เธอชักสายตากลับมาจากบิลบอร์ด ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเลยจุดจอด
เมื่อรถประจำทางจอดสนิท ประตูเปิดให้ผู้โดยสารลงจากรถ ลอออรเดินตามผู้โดยสารคนอื่น เธอมัวแต่มองความอลังการของตึกตรงหน้า จนเกือบสะดุดฟุตบาทล้ม
“อุ้ย!” หญิงสาวเซไปข้างหน้าหลายก้าว กว่าจะตั้งหลักได้
ลอออรกวาดตามองไปรอบๆ โชคดีเธอเป็นเวลาดึกพอสมควร ผู้คนเลยไม่ค่อยพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้นเธอคงขายขี้หน้าพวกเขา หากพลาดล้มลงไปบนพื้น
“แหะ” เธอฝืนยิ้มแหยๆ ไปรอบๆ ตัว หลังจากตั้งหลักได้ ลอออรมองหาที่นั่ง ขาเธอสั่นจนฝืนทรงตัวไว้คงไม่ดีเท่าไหร่ ในที่สุดเธอก็เจอที่พักขา ลอออรทิ้งตัวลงนั่งแบบไม่ต้องคิด เธอไม่ได้สวมกระโปรงเลยไม่ต้องระมัดระวังตัวนัก เธอสวมกางเกงตัวโคร่งกับสเวตเตอร์สีเทาที่สวมทับเสื้อยืดสีขาว แถมยังมีผ้าพันคอผืนโตพันอยู่รอคออีกด้วย เธอคงเป็นตัวประหลาดสำหรับคนอื่น เพราะลอออรแอบเห็นมีหลายคนแอบมองเธอด้วยสายตาแปลก
เธอพยายามไม่ใส่ใจสายตาของคนเหล่านั้น
ลอออรล้วงโทรศัพท์ของเจ้ปลาออกมากดโทรออก เธอไม่ได้มาเพื่อเดินเล่น ดังนั้นต้องรีบทำภารกิจให้สำเร็จ เธอจะได้มีเวลาสำรวจความเป็นไปในปารีส เมื่อมันเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับเธอตอนเรียน
หลังได้ยินคำทักทายจากปลายสาย “สวัสดีค่ะ ดิฉันมารับเอกสารแทนเจ้ปลาค่ะ ไม่ทราบว่าจะให้ดิฉันไปรับได้ที่ไหนคะ?”
ทิโมธีเบนโทรศัพท์ออกห่าง ปลายสายเสียงไม่คุ้นหู สำเนียงแปร่งๆ แต่ก็ถือว่าดีพอใช้
“อ้อ คนจากลัดดานายด์นั่นเอง ขึ้นมาที่ชั้นสิบหก ผมจะฝากเอกสารไว้กับเลขาฯ คุณขึ้นมารับไปได้เลย” ทิโมธีเขี่ยกระดาษตรงหน้า เขาเพ่งมองรูปในกระดาษ พร้อมกับคิดไปด้วย
อีกไม่นานจะถึงฤดูแฟชั่นกลางปี ซาลูมีแพลนที่จะออกคอลเลคชันใหม่ แต่ยังไม่รู้จะเป็นแบบไหน เมื่อยังไม่มีงานชิ้นไหนถูกใจเควินสักที
เจ้านายอารมณ์เสียจนต้องขอตัวออกไปสูบบุหรี่ ทิโมธีไม่ได้รั้งไว้ เขารู้ใจเควินดี ตอนนี้เควินคงหงุดหงิด เมื่อเขาเองก็คิดไม่ออก เควินเปรยๆ ให้ฟัง เขาไม่มีแรงบันดาลใจสำหรับคอลเลคชันนี้เลย
ทิโมธีกดวางสาย เขาหมดความสนใจเรื่องของลอออร เมื่อกำลังโฟกัสกับกระดาษกองมหาศาลบนโต๊ะ ฝีมือดีไซเนอร์ของซาลูทั้งหมด แต่ก็ยังไม่เข้าตาชิ้นไหนเลยเหมือนกัน
ลอออรลุกขึ้นยืน ยื่นมือปัดฝุ่นที่ปลายขากางเกง เงยหน้ามองตัวตึกพร้อมกับสูดลมหายใจแรงๆ มือของเธอกระตุกผ้าพันคอ กระตุ้นความกล้าในตัว นี่เป็นครั้งแรกกับการเหยียบย่างเข้าไปในซาลู
“ฉันจะไม่มีทางลืมวันนี้เด็ดขาด” ลอออรพึมพำขยับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
แต่ทุกอิริยาบถของเธออยู่ในสายตาใครบางคน เขามองหล่อนผ่านควันบุหรี่ นับตั้งแต่หล่อนก้าวเท้าลงมาจากรถประจำทางคันนั้น มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูด เขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย ท่าทางสะดุ้งตกใจตอนที่เกือบสะดุดฟุตบาทตรึงสายตาของเขาไว้ ท่าทางเลิ่กลั่กหมุนซ้ายหมุนขวาเหมือนกำลังตื่นกลัว กระตุ้นต่อมบางอย่างในร่างกายเขาให้เดือดพล่าน เนื้อตัวเขาเต้นระริก สัญชาตญาณสัตว์ป่าตื่นเตลิด แต่ทั้งหมดทั้งหมดที่เกิดขึ้น สงบลงได้ เพียงแค่หล่อนยิ้ม
ช่วงที่สปร์อตไลน์ส่องผ่านหน้า เป็นจังหวะเดียวที่หญิงผู้นั้นคลี่ยิ้ม
เวลารอบตัวของเขาเหมือนหยุดนิ่ง เขาพยายามชะเง้อมองรอยยิ้มนั่นให้เต็มตาอีกครั้ง แต่หล่อนกลับเดินหนีไปเสียแล้ว
บทที่2.สะดุดรักแม่สาวจอมเปิ่น
ซองเอกสารหนาพอสมควร หนาขนาดลอออรยัดเก็บในอกเสื้อไม่ได้ เธอเลยจำใจถือแล้วก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม...แต่เพราะความโก๊ะส่วนตัวด้วยล่ะมั้ง หรือไม่ก็ทางเดินวกวนจนลอออรหลงทาง เธอเดินไปฝั่งตรงกันข้ามกับขามา เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนมึนที่หน้าประตูห้อง ห้องหนึ่ง
บานประตูเผยอแง้ม มีแสงไฟส่องลอดผ่านช่องว่างเล็กน้อยนั่นมา
ลอออรชั่งใจระหว่างหมุนตัวเดินกลับ แล้วพยายามคลำหาทางออก กับการเดินไปข้างหน้า เผื่อบางทีจะเจอใครสักคน เธอน่าจะได้รับความกระจ่าง เพราะคนในย่อมรู้ทางออก แทนการเดินวนไปเวียนมา
และแล้วลอออรก็ตัดสินใจเลือกทางที่สอง เธอผลักประตู แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ห้องโถงกว้าง มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่ตัวเดียว ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีใครสักคนเหมือนที่ลอออรคาดคะเน หญิงสาวหมุนมองไปรอบๆ ตัว เธอพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืด เมื่อแสงไฟส่องสว่างเฉพาะที่กลางโต๊ะเท่านั้น
“มันยังไงกันนะ ทำไมมีคนเลย” ลอออรบ่นพึมพำ ขยับเดินไปข้างหน้า ความกลัวผสมกับความกล้าจนแยกไม่ออก
มันเป็นประสบการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับเธอเลย ตึกใหญ่โตแต่แทบจะไม่มีคนอยู่ บริเวณลอบบี้ด้านล่างยังมีพนักงานซาลูเดินกันให้ควัก แต่นับตั้งแต่เธอเดินออกจากลิฟต์ตัวนั้น ลอออรเจอแค่เลขานุการสาวคนนั้นคนเดียว
แต่แล้ว...สายตาของลอออรก็ไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง เธอตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ และถือวิสาสะก้มลงมอง