สองพี่น้องถึงจะมีตั๋วเงินเก็บอยู่ในตัวถึงหนึ่งพันตำลึง ทว่ากลับยังคงไปรับจ้างตัดผักจากนั้นก็เข็นผักไปส่งให้แก่ร้านค้าทั้งหลายตามตลาดต่าง ๆ ในเมืองโยวโจวกับร้านอาหารตามโรงเตี๊ยม แล้วยังมีจวนสกุลใหญ่อีกหลายจวนกว่าจะเสร็จก็เข้าสู่บ่ายคล้อยดังเช่นทุกวัน จากนั้นจึงมุ่งหน้านำเงินกลับไปส่งคืนให้แก่เจ้าของสวนผักด้วยเงินที่ครบถ้วนมิขาดไปแม้เพียงหนึ่งเหวิน
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะเสี่ยวจู เสี่ยวเจิน พวกข้าแก่ชราลงมากแล้ว หากไม่ได้พวกเจ้าสองพี่น้องข้าก็คงลำบากไม่น้อย” สวนผักสุดท้ายซึ่งเป็นของสองผู้เฒ่าสกุลเสิ่น ที่ลูกสาวนั้นแต่งงานออกไปเป็นอนุภรรยาสามปียังไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลยสักเพียงหนึ่งครั้ง ส่วนบุตรชายคนโตไปเป็นทหารก็หายลับไม่กลับมา บุตรชายคนเล็กความหวังเดียวก็มาถูกงูกัดตายไปเมื่อปีก่อน
บัดนี้สองผู้เฒ่าสกุลเสิ่นจึงอยู่กันเพียงลำพัง ยังดีว่าสองพี่น้องสกุลหวังนั้นมารับจ้างทำงานทุกสิ่ง ตั้งแต่ขุดดินลงเมล็ดผัก เพาะปลูต้นกล้า แล้วย้ายต้นกล้าเหล่านั้นไปลงยังแปลงผัก ตลอดจนผสมปุ๋ยคอกก็ล้วนเป็นสองพี่น้องทั้งสิ้น พอช่วงนี้ได้เวลาตัดผักที่ปลูกไว้แล้ว สองพี่น้องก็หาร้านค้าและจวนใหญ่เพื่อนำผักที่ตัดสดใหม่ไปส่ง แล้วให้สองสามีภรรยาแซ่เสิ่นที่วัยนั้นก็ล่วงเลยมาถึงหกสิบปีแล้วนั่งรอรับเงินอยู่ที่จวนอย่างเดียวเลยก็ว่าได้
“วันนี้ได้มาทั้งหมดสองร้อยยี่สิบเจ็ดเหวินเจ้าค่ะ” หวังลี่จูกางบัญชีที่นางจดรายละเอียดมาว่าผักของสกุลเสิ่นนั้นส่งที่ร้านใด จวนใดบ้าง ก่อนที่นางจะทำการนับรวมยอดเงินให้ไปจนครบถ้วน นางนับอีกครั้งต่อหน้าสองผู้เฒ่าซึ่งพวกท่านต่างก็ดีใจมากล้น หากไม่ได้สองเด็กสาวกำพร้าคู่นี้ช่วยเหลือ ถึงจะเป็นการช่วยเหลือแลกค่าจ้าง แต่สองพี่น้องแซ่หวังไม่เคยโกงกินค่าผักเลยสักครั้ง หากเป็นคนอื่นคงได้เงินไม่ครบทุกเหวินเช่นนี้
“เอาละ ห้าสิบอีแปะนี้ให้เจ้านะเสี่ยวจู ส่วนห้าสิบอีแปะนี้ให้เจ้าเสี่ยวเจิน” สองผู้เฒ่าแซ่เสิ่นคิดถี่ถ้วนแล้วว่าตนเองมีเพียงที่ดินกับเมล็ดพันธุ์พืชผักเท่านั้น ส่วนการปลูก การดูแล ไปจนถึงการตัด และนำไปขายก็ล้วนเป็นสองสาวน้อยคู่นี้ พวกเขาจึงแบ่งให้สองพี่น้องแซ่หวังมากเช่นนี้
“พวกเราขอรับไว้เพียงห้าสิบอีแปะก็พอเจ้าค่ะท่านตาท่านยาย เพราะกว่าผักจะตัดได้ก็ต้องใช้เวลาเพาะปลูกอยู่นานราวหกสิบถึงเก้าสิบวัน ท่านตากับท่านยายยังต้องซื้อข้าวสาร ไหนจะยังมีค่าสมุนไพรที่พวกท่านต้องกินประจำอีก”
สองพี่น้องแซ่หวังถึงจะยากจน ถึงจะชอบเงินชอบทอง แต่ให้เอารัดเอาเปรียบคนแก่ชราพวกนางทำไม่ลงคอหรอก จึงรับเงินมาเพียงรวมกันแล้วห้าสิบอีแปะซึ่งก็ไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อย จากนั้นสองสาวน้อยจึงขอตัวกลับขึ้นเขาไห่เหมี่ยวเช่นเดิม
“หวังว่าวันนี้พวกเราจะไม่ต้องทำตนเป็นบุรุษช่วยโฉมงามอีกแล้วนะพี่สาว”
เจ้าตัวเล็กพูดจาทะเล้น ใบหน้ามอมแมมนั่นสดใสมากมายไปด้วยความสุข ทำให้หวังลี่จูเองก็อดจะยิ้มแย้มตามไปด้วยอีกคนมิได้ คนเราก็เท่านี้เหนื่อยงานหนักหนาคงไม่ทุกข์ยากเท่าเหนื่อยหัวใจ พวกนางสองพี่น้องหิวก็เพียงหาของกินใส่ปากใส่ท้องจนอิ่ม ง่วงก็นอน เรื่องปวดหัวอย่างอื่นกล่าวกันตามจริงตั้งแต่ข้ามภพมาอยู่ในร่างของหวังลี่จู แล้วขึ้นมาอาศัยอารามหรือเรียกภาษาที่นางเข้าใจง่ายก็คือ ‘วัด’ นี่เองก็ไม่เคยทุกข์ใจอันใด มีเพียงทุกข์ทางกายเท่านั้น
“ขึ้นเขาอย่ากล่าวถึงโจร เข้าป่าอย่าได้เอ่ยถึงสัตว์ร้ายรู้หรือไม่”
หวังลี่จูเดินขึ้นไปจนตีคู่กันอาศัยที่ตนเองสูงกว่าน้องสาวเล็กน้อยขยี้จนมวยจุกสองข้างของหวังลี่เจินหลุดเส้นผมฟูฟ่อง เด็กสาวกรีดร้องที่ถูกพี่สาวรังแกจึงหันมาใช้นิ้วพิฆาตจิ้มไปที่เอวอรชรของคนเป็นพี่สาวบ้าง คราวนี้กลับเป็นหวังลี่จูบ้างที่หัวเราะจนสะท้อนก้องไปทั่วทั้งภูเขา นกกาพากันบินหนีดูวุ่นวายเพราะสองพี่น้องหยอกล้อเล่นกัน
จนกลับถึงเรือนนอนในส่วนของตนเอง ท้องฟ้ายังไม่มืดสองพี่น้องแอบประสานสายตากันแล้วก็แอบยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แก่กัน นานมากแล้วที่พวกนางกินเพียงผัดผักต้ม ผักนึ่งกับมันเทศเผา วันนี้พวกนางจะกินปลาเผาบ้างจึงนัดแนะซุกซ่อนเบ็ดคิดจะไปตกปลากันที่ลำธารซึ่งกั้นกลางระหว่างภูเขาของไต้ซือหรือก็คือพระจีน บางคนก็เรียกหลวงจีนออกจากภูเขาฟากฝั่งที่เป็นของซือไท่หรือฝ่ายอารามแม่ชีอย่างชัดเจนเอาไว้
“เบ็ดมันช้า เรามาใช้ไม้แหลมนี่กันเถอะ”
เพราะหวังลี่เจินเกิดและเติบโตมาจากดินแดนแห่งนี้ ส่วนหวังลี่จูนั้นเป็นวิญญาณข้ามภพมาย่อมมีความสามารถแตกต่างกัน หวังลี่เจินนั้นแทงปลาด้วยไม้ไผ่ที่เหลาจนแหลมได้เก่งกว่าคนเป็นพี่ ส่วนหวังลี่จูนั้นยืนตกปลาจนเจ้าตัวแสบนั้นแทงปลาอวบอ้วนมาได้ถึงสี่ตัว คนทำบาปไม่ขึ้นเลยต้องยอมแพ้
จากนั้นก็มาชวนกันอาบน้ำที่ต้องเรียกว่า ‘เล่นน้ำ’ กันเสียมากกว่า สองพี่น้องแซ่หวังสาดน้ำใส่กันไปมา หัวเราะเต็มเสียงช่างเป็นความสุขชุ่มฉ่ำใจพานให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งไปตั้งแต่ชายเขานั่นแล้ว แต่พอจะกลับไปยังเรือนพักสองพี่น้องก็ต้องหลบซ่อนเจ้าปลาชะตาขาดทั้งสี่ตัวเอาไว้ให้มิดชิด ก็หากหัวหน้าแม่ชีเหยียนทราบเข้าพวกนางคงได้ถูกดุกันถ้วนหน้าเป็นแน่ที่เอาเนื้อสัตว์มากินในเขตพระอารามซือไท่เช่นนี้
ความซุกซนนี้ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ผู้ใดไม่ว่าคนพี่หรือคนน้อง ต่อให้วัยห่างกันถึงสี่ปีแต่เพียงหวังลี่จูกับน้องสาวนับจากฟื้นขึ้นมาก็สนิทกันมากราวกับเพื่อนสนิทมากกว่าจะเป็นพี่กับน้อง
“หวานมากเลยนะพี่สาว เนี่ยเราไม่ได้กินปลาเผากันมานานกี่เดือนแล้วนะ?”
หวังลี่เจินหลับตาทำกิริยาเคลิบเคลิ้มเมื่อนางได้ส่งเนื้อปลาเข้าปากไปคำแรก จนหวังลี่จูถึงกับหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ จากนั้นก็ส่งนิ้วชี้กับนิ้วกลางไปบีบปลายจมูกโด่งเรียวสวยของคนเป็นน้องสาวแล้วโยกไปมาอย่างมันเขี้ยวเต็มทน
“เท่าที่จำได้ห้าวันก่อนเราก็เพิ่งกินไปเองนะเสี่ยวเจิน”
แล้วสองเสียงหวานใสก็ผสานกันหัวเราะคิกคักไม่กล้าปล่อยเต็มเสียงเพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยนั่นเอง แล้ววันนี้ก็เช่นเคยปลาสี่ตัวอวบอ้วนฝ่ายพี่สาวเป็นคนเผาแต่คนที่กินจนพุงกางไปเสียสามตัวก็ยังคงเป็นหวังลี่เจินเช่นเดิม ฝ่ายคนที่ยังคงกินน้อยก็ย่อมเป็นหวังลี่จูนั่นเอง
“หยกนี่สวยมากเลยนะเจ้าคะ”
พอกินจนอิ่มก็เร่งกำจัดซากปลาไปจนสิ้น หาไม่มีคนมาพบเข้าพวกนางจะถูกเรียกไปตำหนิเอาได้ ก็พวกนางยังเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาทั่วไปมีรัก โลภ โกรธ หลงจนครบถ้วนเต็มเปี่ยมมิได้ตัดขาดทางโลกเช่นเหล่าแม่ชีทั้งหลายนี่นา เรื่องแอบนอก ‘กรอบ’ ก็ถือว่ามันคือ ‘รสชาติ’ แห่งชีวิตเล็กน้อย เด็กสาวจึงดึงเอาสายสร้อยคอที่ภายในนั้นมีแหวนหยกสีดำเนื้อดี ขนาดนางยังเด็กและมีฐานะยากจนยังมองออกว่าหยกสีดำนี้หายากและสูงค่าเพียงใด
“เอามาเก็บใส่ถุงนี้เอาไว้ให้จงดี ของดีของแพงจะนำพาอันตรายมาสู่เจ้าเอาได้”
หวังลี่จูนั้นแนะนำคนเป็นน้อง ซึ่งหวังลี่เจินก็เชื่อฟังและทำตามคำพี่สาวเป็นอย่างดี สองคนพี่น้องต่างมีถุงผ้าเป็นของตนเอง ในนั้นส่วนใหญ่คือตั๋วเงินเพราะพกเอาไปเป็นเหรียญย่อมหนักสู้แลกเอามาเป็นตั๋วเงินเก็บเอาไว้ย่อมง่ายกว่า
“ได้มาอีกถึงหนึ่งพันตำลึงรวมกันแล้วข้าว่าเราลองไปดูที่ดินผืนงามสักผืนเอาไว้ย่อมดีกว่า เงินเก็บติดตัวเอาไว้เกิดหายไปคงยากจะได้คืน บัดนี้เราพอจะซื้อที่ดินได้สักห้าถึงเจ็ดหมู่ ข้าก็ว่าพอเพียงสำหรับให้เราสองคนได้อาศัยทำมาหากิน ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ได้แล้วละเสี่ยวเจิน”
หวังลี่จูนับเงินในส่วนของตนเอง จากนั้นก็นับของน้องสาวรวบรวมกันแล้วมีอยู่หนึ่งพันสามร้อยตำลึงเงิน ส่วนกำไลหยกสีชมพูกับแหวนหยกสีดำนี้นางตัดสินใจจะเก็บติดตัวเอาไว้ก่อน หากไม่ยากไร้จริง ๆ จะไม่นำไปขายหรือเอาไปจำนำ สองพี่น้องนอนปรึกษาพูดคุยกันหนุงหนิงว่าจะไปดูที่ดินทางแถบไหนกันดี คิดไปคิดมาพวกนางก็ต่างเห็นตรงกันว่าที่ดินของสองผู้เฒ่าสกุลเสิ่นที่มีอยู่ราวสามสิบหมู่นั้นสวยที่สุด
“หากพวกเราจะขอแบ่งซื้อที่ดินของพวกเขาสักเจ็ดหมู่ก็คงจะพอเป็นไปได้นะพี่สาว”
หวังลี่เจินนอนพึมพำหันมาซุกกายเข้าไปกอดร่างของพี่สาวแน่นพลางวาดความฝันถึงที่ดินหนึ่งแปลงกับกระท่อมหลังเล็กสำหรับพวกนางสองพี่น้อง เด็กสาววัยสิบสี่ปีหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมสุข ไม่ต่างจากหวังลี่จูที่ก็กำลังคิดว่าตนเองจะไปพูดจาหว่านล้อมท่านสองผู้เฒ่าเช่นไรพวกท่านจึงจะยินดีแบ่งขายที่ดินให้แก่พวกนางสองพี่น้องได้โดยง่าย
“เอาน่า…อย่างไรเสี่ยวเจินก็มากความสามารถด้านการออดอ้อนเป็นหนึ่งไม่มีสอง อย่างน้อยมันก็ต้องลองกันสักตั้งแล้วละลี่จู!”
หญิงสาวกำหมัดชูขึ้นแล้วดึงมันเข้าหาตนเอง ก่อนจะหลับไปกับความคาดหวังเต็มเปี่ยม ก็คนเรามันอยู่ได้เพราะความหวังกันทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดคนเราย่อมต้องหวังเอาไว้ก่อนจะผิดหรือถูกใจสมดังที่หวังหรือไม่ ท้องฟ้าสว่างย่อมทราบกันเอง…
ทางด้านสองพี่น้องแซ่หวังนั้นหลับไปกับความคาดหวัง ทางฝ่ายหลิวไทเฮานั้นก็โกรธจนใบหน้าแดงหูแดงไปหมดเมื่อเจ้าบุตรชายตัวดีนั้นกลับมาเอ่ยวาจาขัดหูขัดใจของนางยิ่งนัก
…ผลัวะ!...
ฝ่ามือพิฆาตฟาดเปรี้ยงลงไปบนหัวไหล่แกร่ง แต่ดูแล้วเจ้าบุตรชายคนเล็กของนางจะไม่สะเทือนสักน้อย มีเพียงแค่นางที่เจ็บฝ่ามือเท่านั้น ฝ่ายจ้าวจวินหลางนั้นก็ทำเสียงในลำคอคล้ายกับไม่พึงใจเช่นกัน
“ไม่ได้!...เช่นไรข้าก็ไม่ยอมรับหลวนจิ้งอวี่มาเป็นสะใภ้คนเล็กเด็ดขาด!
“กระหม่อมก็ไม่ยินยอมจะแต่งพระชายาเอกที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าอาศัยพระอารามเป็นที่ซุกหัวนอน ไม่พอนางยังเคยไปรับจ้างลอกส้วมให้แก่สกุลต่าง ๆ ในเมืองหลวงอีกด้วย!”
สองมารดากับบุตรชายต่างก็จ้องหน้ากันอย่างไม่มีผู้ใดยอมลงให้ผู้ใดทั้งสิ้น งานนี้คนกลางเช่นจ้าวจวินข่ายนั้นหายใจลำบากเสียจริง อีกคนก็พระมารดา อีกคนก็น้องชายคนเดียวที่เขารักมาก เอียงไปทางใดเขาก็บาดเจ็บสาหัสไม่แตกต่างกันเลย
“เอ่อ…เสด็จแม่กับน้องหกมาเจอกันคนละครึ่งทางดีหรือไม่?”
ฮ่องเต้ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับไปตามใบหน้าขาวผ่อง เรียวปากเป็นสีแดงราวผลอิงเถาแล้วต้องค่อย ๆ กล่าวออกมาอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด เพราะนั่นก็ไทเฮา คนทางนี้ก็ชินอ๋อง
“เช่นไรฮ่องเต้เร่งกล่าวมา” หลิวไทเฮาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เช่นเดียวกับจ้าวจวินหลางที่ก็นั่งหน้าตึงยิ่งกว่าหนังกลองเอาไว้ตีในยามออกศึกเสียอีก หากตึงอีกนิดใบหน้าคงได้ปริร้าวเสียเป็นแน่
ก็มีอย่างที่ใดมารดาคิดจะให้เขานั้นทดแทนบุญคุณของคนที่ช่วยชีวิต ‘หลิวไทเฮา’ ด้วยการใช้กายชินอ๋องนี้ ‘พลี’ ยกให้แก่สตรีแซ่หวังนั้น ที่กำพร้าสิ้นบิดาไร้มารดา ที่ดินถูกท่านอาโกงไปต้องมาอาศัยพระอารามซุกหัวนอนแทนบ้านช่องของตนเอง ไม่พอวันนี้เขาส่งลู่เจิงไปสืบประวัติในอดีตของสองพี่น้องแซ่หวังนั้น จึงได้ทราบว่าแม้นแต่สุขาพวกนางก็ยังเคยเข้าไปรับจ้างตักออกไปขายให้สวนผักเสียก็หลายจวน แล้วพระมารดาจะให้เขาตบแต่งสตรีต่ำค่าถึงเพียงนี้จ้าวจวินหลางรับไม่ไหวจริง ๆ
“ก็เอ่อ…ก็ไม่ยากที่ตรงใด น้องหกต้องการจะแต่งงานกับหลวนจิ้งอวี่ก็แต่งไป ส่วนที่เสด็จแม่ต้องการทดแทนบุญคุณหนี้ชีวิตก็จงตบแต่งแม่นางแซ่หวังตามพระทัยของเสด็จแม่ไปเช่นกัน คือชินอ๋องมีพระชายาเอกได้ก็มีพระชายารองได้เช่นกัน”
…ขวับ!...ขวับ!...
สองคนหันขวับกลับมาจับจ้องมายังฮ่องเต้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คิดให้ดีวิธีนี้ย่อมเจอกันคนละครึ่งทางจริงเสียด้วย แต่ปัญหานั้นยังมาตกลงที่ว่าผู้ใดนั้นจะได้ตบแต่งเป็นพระชายาเอกและพระชายารอง สงครามน้ำลายนั้นจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้งจนฮ่องเต้หนุ่มซึ่งแก้ปัญหาการงานราชกิจยังไม่ยากเย็นเท่าการมานั่ง ‘ตัดสิน’ คดีความระหว่างมารดากับน้องชายเช่นนี้มาก่อนเลย
“หยุด!!!”
“….”
“….”
เล่นเอา ‘สงคราม’ น้ำลายมีอันต้องสงบลงทันควันเพราะอย่างน้อยก็ต้องยำเกรงในฐานะ ‘ฮ่องเต้’ ของจ้าวจวินข่ายบ้าง ต่อให้ปกติสองคนนี้ก็แทบจะลืมกันไปแล้วว่าเขานั้นเป็นฮ่องเต้ เพราะยามใดที่อยู่ด้วยกันในห้องหับมิดชิดเป็นส่วนตัวน้องชายกับมารดาก็ทอดทิ้ง ‘ฮ่องเต้’ เช่นเขาได้เสมอ ยิ่งมีเรื่องถกเถียงกันยิ่งพ่นสงครามน้ำลายใส่กันข้ามศีรษะฮ่องเต้จนเขานี่หงอยเสียการปกครองไปจนสิ้น ยังดีว่าในยามอยู่ภายนอกหลิวไทเฮากับชินอ๋องจ้าวจวินหลางยังไว้หน้าเขาให้ขุนนางพอได้ยำเกรงอยู่มาก
“จับไม้สั้นไม้ยาวกัน หากผู้ได้จับได้ไม้ยาวไป คนของผู้นั้นจึงจะได้เป็นชินหวางเฟย”
ผู้ใดจะคิดว่าหนึ่งนั้นคือฮ่องเต้แห่งโยวโจว อีกหนึ่งคือหลิวไทเฮาสตรีซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินโยวโจว สุดท้ายก็คือชินอ๋องแห่งเป่ยหนิง ที่เป็นถึงผู้นำกองทัพทหารม้าจอมทมิฬ ไม่พอกองกำลังยินหลางซื่อซึ่งมีทหารกล้าในกำมือถึงสามแสนคน จะมาเล่น ‘จับไม้สั้นไม่ยาว’ เช่นนี้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะมันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
จ้าวจวินข่ายเรียกหาไม้สั้นไม้ยาวจากขันทีคนสนิทครู่หนึ่งก็ได้สมใจ ซึ่งขันทีข้างกายของฮ่องเต้เขาจึงนำตะเกียบมาถึงสิบอัน และแน่นอนจ้าวจวินข่านก็เขย่าราวกับเขย่าเซียมซี
“เอาผ้าดำไปปิดดวงตาของไทเฮาและชินอ๋องให้มิดชิดห้ามตุกติกเด็ดขาด!!!”
กล่าวสั่งความเสร็จขันทีก็จัดการนำผ้าสีดำไปมัดปิดดวงตาของหลิวไทเฮาและชินอ๋องจ้าวจวินหลาง จากนั้นก็ทดสอบอีกครู่หนึ่งฮ่องเต้หนุ่มจึงเป็นคนนำกระบอกไม้ไผ่ดังกล่าวเขย่าเสร็จก็จึงยื่นไปตรงหน้าของหลิวไทเฮาก่อนซึ่งเป็นไปตามอาวุโส จากนั้นก็ส่งให้จ้าวจวินหลางเป็นคนสุดท้าย เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงส่งกระบอกไม้ไผ่ให้แก่ขันทีคนสนิทนำไปเก็บ จากนั้นก็สั่งให้ปลดผ้าของทั้งสองออกมา
ผลที่ออกมา ทำเอาฝ่ายหลิวไทเฮานั้นถึงกับยิ้มแย้มหน้าบานเสียยิ่งกว่าใบบัวกระด้งก็มิปาน ฝ่ายที่ใบหน้าดำยิ่งก้อนถ่านกลับเป็นฝ่ายของชินอ๋องหนุ่มจ้าวจวินหลางไปเสียแทน เพราะผลที่ได้เขานั้นพ่ายแพ้ยากจะเอ่ยอันใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ!!!
“หึ!...สวรรค์ย่อมเข้าข้างคนดี”
หลิวไทเฮากล่าวไปพลางก็หัวเราะไปพลาง ต่างจากจ้าวจวินหลางที่กัดฟันจนสันกรามนูนเด่น สองมือกำแน่นจนไม้สั้นในมือด้านขวานั้นหักคากำมือพานทำให้เสี้ยนตำเข้าจนเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาเลยทีเดียว แต่บุรุษชาติทหารกล้ากล่าวไปแล้วยากจะคืนคำจึงจำต้องยอมรับให้สตรีที่ตนพึงใจนั้นมาเป็นพระชายารอง ส่วนสตรีอัปลักษณ์ต่ำต้อยนางนั้นกลับได้เป็นพระชายาเอก
…ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!!!...
น่าเจ็บใจที่ตนเองยากจะสะบัดเสี้ยนหนามเช่นหวังลี่จูนั้นให้พ้นหูและพ้นตาไปได้ แต่เอาเถิดในเมื่อแต่งงานแล้วเขาต้องพานางไปอยู่ไกลถึงเป่ยหนิง ซึ่งพอถึงบัดนั้นแล้วเขาจะทำอันใดกับพระชายาชั้นต่ำเช่นหวังลี่จูก็ได้มิใช่หรือไร???