เมื่อถึงวันที่อลิตาจะเดินทางกลับประเทศไทย หลังจากเช็กอินและฝากกระเป๋าใบใหญ่ไปรอที่เครื่องบินเรียบร้อย อลิตาก็เดินตัวปลิวเข้ามาต่อแถวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจเอกสารต่างๆ แต่เธอก็ต้องรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เกิดอาการแปลกๆ เมื่อเจ้าหน้าที่ของสนามบิน มองหน้าเธอและก้มมองรูปภาพในพาสปอร์ตอยู่หลายครั้ง ก่อนจะกดอะไรสักอย่างที่คีย์บอร์ด
“รบกวนตามผมมาทางนี้ด้วยครับ” เขาพูดจบก็เดินนำเธอไปยังห้องห้องหนึ่ง
“ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ” อลิตาถามอย่างใสซื่อบริสุทธิ์
“มีบันทึกแจ้งความว่าคุณบุกรุกบ้านพักในยามวิกาล เจ้าของบ้านดำเนินการแจ้งความไว้เมื่อวาน คุณยังไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศตุรกีได้”
“อะไรนะคะ!”
“เรื่องนี้ผมต้องส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่งรอสักครู่ ห้ามออกไปจากห้องนี้ และผมต้องขอยึดพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน และสัมภาระของคุณไว้ก่อน”
“เดี๋ยวคุณ! คุณคะ” อลิตาวิ่งตามเขาไป แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมา คือเสียงประตูที่ถูกล็อกจากด้านนอก เธอนั่งหมดอาลัยตายอยาก คิดหาหนทางให้ตัวเองได้กลับประเทศไทย ถ้าไม่ได้กลับไป ใครจะอยู่ดูแลป้า งานการของเธอล่ะ ต้องโดนไล่ออกแน่ๆ และไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่คนเดิมก็กลับมา พร้อมกับตำรวจอีกสามนาย
“ผมขอเชิญตัวคุณไปสอบปากคำ ที่สถานีตำรวจที่มีการแจ้งความไว้นะครับ เชิญขึ้นรถครับ”
“เดี๋ยวนะคะ... ฉันไปบุกรุกบ้านของใคร ตอนไหน ทำไมพวกคุณรู้ แต่ตัวฉันเองไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“จากข้อมูลที่ได้รับ เจ้าของบ้านมีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยันชัดเจน ว่าคุณเดินวนเวียนอยู่ในสวนหลังบ้านตลอดทั้งคืน และพยายามจะปีนรั้วบ้านเพื่อหนีออกไปด้วย”
“ฉันเนี่ยนะ!”
“ถ้าไม่ใช่คุณ คุณก็ไปปฏิเสธกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความและชี้แจงกับเจ้าของบ้านเองนะครับ ทั้งสองฝ่ายนั้นรออยู่แล้ว ผมทำหน้าที่แค่ประสานงานและไปส่งคุณเท่านั้น เชิญขึ้นรถด้วยครับ”
“ถ้าฉันวิ่งหนีตอนนี้ คุณจะทำยังไงกับฉันคะคุณตำรวจ”
“ยิงครับ”
“โอเคค่ะ ให้นั่งตรงไหนคะ”
“ด้านหลัง พร้อมใส่กุญแจมือ”
“ยินดีค่ะ” อลิตาฝืนยิ้ม และพยายามควบคุมลมหายใจให้ถูกจังหวะ เนื่องจากไฟแค้นนั้นกำลังทำให้เธอแทบทนเก็บอารมณ์โมโหไว้ไม่ไหว อลีเซอร์! ไอ้คนใจร้าย!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา อลิตาเดินลงจากรถตำรวจที่เปิดเสียงไซเรนมาตลอดทาง เกิดมาไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน หรือถูกใครทำให้เดือนร้อนจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล อย่างมากก็แค่โดนตำรวจจับข้อหาไม่ยอมใส่หมอกกันน็อค ในช่วงวัยรุ่นเมื่อสิบปีก่อน
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ไหมครับ ที่คุณบอกว่าบุกรุกบ้านของคุณ”
“ครับ” อลีเซอร์ตอบคำถามสั้นๆ
“ทางกฎหมายสามารถลงโทษเธอได้เลย เพราะมีหลักฐานชัดเจน จะให้จับเลย หรือว่าเจรจาก่อนครับ”
“จับเลยครับ”
“คุณ!” อลิตามองเขาอย่างเคียดแค้น เธอต่างหากล่ะที่ต้องส่งเขาเข้าคุกข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขู่ และอื่นๆ อีกมากมาย
“เจรจาก่อนก็ได้ครับ ดูเหมือนเธอมีอะไรอยากจะพูดกับผม” อลีเซอร์หันไปส่งยิ้มให้ตำรวจ ช่างเป็นยิ้มที่แสนดี คนดี๊ คนดีประจำปีสองพันสิบแปด แต่ทันทีที่อยู่ตามลำพังกับอลิตา รอยยิ้มคนดี๊ คนดีนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอก
“ตกลงว่าจะไปอยู่บ้านผมหรือจะอยู่ในคุก”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยู่ ฉันจะกลับเมืองไทย ทำไมต้องทำร้ายฉันแบบนี้ด้วย คุณคิดว่าฉันเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจหรือไง ฉันกลัวแทบแย่ แล้วคุณร้ายกาจมากนะที่กล้าเอาคลิปที่ฉันกำลังจะหนีออกจากบ้านคุณ เพราะถูกคุณจับตัวไปมาแจ้งตำรวจว่าฉันบุกรุก ฉันไม่มีวัน...”
“หยุด!”
“ไม่หยุด!”
“ไม่หยุดก็ไปเข้าคุก คิดเหรอว่าผู้หญิงตัวคนเดียวจะออกจากคุกไปได้ ถึงแม้ว่าตำรวจจะตรวจสอบว่าสุดท้ายแล้วผมแจ้งความเท็จ แต่กว่าจะถึงวันนั้น คุณก็เหี่ยวแห้งตายในคุกก่อนนั่นแหละ จะเอายังไง จะไปอยู่กับผมหรือไม่อยู่”
“ไม่!”
“ได้!” อลีเซอร์เห็นว่าการข่มขู่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ผล จึงจะเดินไปเรียกตำรวจ“เดี๋ยวก่อน...” อลิตารั้งแขนเขาเอาไว้
“อะไร” เขาหันไปมองหน้าของอลิตา ดวงตาเธอดูเป็นกังวลและกำลังเศร้าและมันทำให้เขาคิดถึงคนรักเก่าอย่างไอริน
“คุณจะให้ฉันอยู่ที่บ้านคุณทำไม”
“เงินสิบล้านที่ผมจะให้คุณ มันไม่มากพอให้คุณเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจบ้างเลยเหรอ”
“ถ้าฉันตอบตกลง คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินอะไรฉันอีก”
“ตกลง” อลีเซอร์ตอบโดยไม่ได้ทบทวน ตอนนี้เขาต้องการแค่ให้เธออยู่ที่นี่ แผนขั้นต่อไปของเขาจะได้ดำเนินการสักที
“โอเคค่ะ เมื่อเสร็จธุระที่โรงพักแล้ว คุณต้องโอนเงินสิบล้านบาทเข้าบัญชีฉันทันที”
“ทันทีที่ถึงบ้าน... ผมจะจ่ายให้คุณเป็นเงินสด”
“ตกลงค่ะ” อลีเซอร์ยื่นมือไปจับกับมือของอลิตา เพื่อยืนยันในเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ และใช้เวลาไม่นาน อลิตาก็ได้เอกสารสำคัญต่างๆ คืนมา พร้อมกับรถของเขาที่ขับมาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน
อลิตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั่งเงียบๆ เพราะต้องใช้ความคิดมาตลอดทาง เธอยอมตอบตกลงกับอลีเซอร์เพราะหมดทางเลือก เธอพลาดท่าให้เขาเอาเปรียบ แต่การต้องติดคุกนั้นไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เธออาจจะถูกนักโทษด้วยกันรุมทำร้าย อาจจะติดโรคร้ายแรง หรือเป็นบ้าเพราะจิตตก แต่ถ้าเธอยอมอยู่ที่บ้านหลังนี้ตามข้อเสนอของเขา อย่างน้อยเธอก็ได้เงินสิบล้านบาท
“คุณคะ”
“ผมจะไปหยิบเงินให้เดี๋ยวนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะผิดคำพูด” อลีเซอร์เองก็เพิ่งพูดเป็นประโยคแรกหลังจากนั่งมาในรถกับเธอ เขาพยายามอย่างหนักที่จะบอกให้ตัวเองจำเอาไว้ว่าผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เขาไม่ใช่ไอริน ข้อมูลที่ได้จากนักสืบบอกมาหมดแล้วว่าเธอไม่ใช่ไอริน เธอไม่ใช่คนที่เขาต้องการเจอมาตลอด
“ฉันจะบอกป้าฉันว่ายังไงดีว่าฉันยังไม่ได้กลับบ้าน แล้วฉันจะทำยังไงดี ถ้าฉันถูกไล่ออกจากงาน”
“คุณทำงานอะไร” อลีเซอร์แกล้งถาม แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าเธอเป็นสถาปนิก
“ฉันทำงานเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน จริงๆ งานฉันทำข้างนอกบริษัทได้ แต่ถ้าจะไม่เข้าบริษัทเลยหนึ่งเดือน ฉันคงถูกไล่ออก”
“บอกชื่อบริษัทคุณมา แล้วผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ ส่วนเรื่องป้าของคุณ คุณจัดการเองดีกว่า ผมว่าแสบๆ อย่างคุณ น่าจะเคยโกหกผู้ปกครองแล้วหนีไปเที่ยวกับเพื่อนนะ”
“บ้า...” อลิตาจะเถียงก็เถียงไม่ออก เอาความจริงมาพูดได้ยังไงเนี่ย
“ไปพักผ่อนตามสบาย จะอยู่ห้องเดิม หรือจะอยู่ห้องไหนก็เดินเลือก แต่ถ้าอยากจะอยู่ห้องเดียวกับผม ข้อตกลงที่คุณเสนอ ผมไม่รับประกันนะว่าจะทำได้ตามที่สัญญาหรือเปล่า” อลีเซอร์กระตุกยิ้มมุมปาก นี่เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเขานั้นแสนเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่พร้อมจะเอาเปรียบเธอตลอดเวลา
“หื่นแบบนี้ล่ะมั้ง คุณไอรินอะไรนั่นถึงได้ทิ้งไป” อลิตางึมงำต่อว่าเขาเบาๆ ไม่อยากให้เขาได้ยิน แต่ก็อยากให้เขารู้ว่าเธอกำลังว่าเขาอยู่
“อย่าลืมนะว่าทักษะภาษาไทยผมไม่ได้แย่ ระวังตัวเอาไว้” เจ้าของบ้านหันมาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปในที่สุด
“มองอะไรคะคุณราจีฟ” อลิตาเห็นมาเห็นราจีฟยืนมองเธออยู่ จึงถามเขาอย่างหาเรื่อง
“เอ่อ... ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาท ผมแค่พยายามหาว่าคุณไม่เหมือนคุณไอรินตรงไหน”
“แล้วเจอไหมคะ”
“ไม่ครับ คุณสองคนเหมือนกันมาก”
“งั้นดูใหม่ค่ะ ดูหน้าฉันใกล้ๆ ดูค่ะ” เธอขยับตัวไปยืนใกล้ๆ เขา ใกล้ชนิดที่เรียกว่าถ้าเธอเป็นผี ก็กำลังจะสิงร่างของราจีฟแล้ว
“ฉันสวยกว่าคุณไอรินร้อยเท่า นี่แหละค่ะ คือสิ่งที่ไม่เหมือนกันคุณไอริน จบนะคะ!” อลิตาพูดจบก็เดินเข้าบ้านตามอลีเซอร์ไป เธอมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้ ที่จะต้องอยู่ไปอีกหนึ่งเดือน จะว่าไปมันก็ดูหรูหรา แต่ในความเรียบหรูนั้นก็มีความทันสมัยจากของตกแต่งต่างๆ ซึ่งถูกจัดให้เข้ากันอย่างลงตัว เธอเห็นภาพวาดและของตกแต่งหลายอย่างเป็นรูปสิงโตก็รู้สึกหลอนๆ นิดหน่อย เขี้ยวก็ยาว ขนก็ฟู ตัวก็ใหญ่ เล็บก็แหลม น่ากลัวเหมือนเจ้าของบ้านไม่มีผิดเพี้ยน
“เฮ้อ... ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นแมวนะ”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
“มีอะไรให้ผมทำครับนาย” ราจีฟเดินเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายตามที่เขาเรียกก่อนหน้านี้
“ช่วยนับเงินหน่อยว่าครบสิบล้านหรือเปล่า” อลีเซอร์พูดพร้อมกับส่งเงินสดสิบล้านบาทไทยให้ราจีฟ จริงๆ เขานับมันด้วยเครื่องจนครบจำนวนแล้ว แต่ไม่อยากพลาด และที่เขามีเงินสกุลบาทไทยมากขนาดนี้ ก็เพราะว่าเขาเตรียมไว้สู่ขอไอรินแต่งงานตามประเพณีของไทย วันไหนค่าเงินบาทเหมาะสมกับการแลกเปลี่ยน เขาก็จะไปแลกมาสะสมเก็บเอาไว้ นานวันเข้า มันก็งอกเงยจนเป็นเงินเกือบยี่สิบล้านบาท
“นายจะให้คุณอลิตาอยู่ที่นี่ทำไมเหรอครับ”
“แกถาม... เพราะแกยังไม่ได้อ่านข้อมูลที่นักสืบหามาให้ฉันใช่ไหมราจีฟ”
“ผมไม่ได้อ่านครับ”
“ฉันชื่นชมแกนะ หาได้ยาก ลูกน้องที่จะซื่อสัตย์และภักดีแบบแก ลำพังพวกลูกน้องคนอื่นมันก็คงไม่ได้เกรงกลัวฉันเท่าไหร่ ถ้าไม่มีแกคอยอบรมสั่งสอน”
“ผมรอวันหักหลังนายอยู่ครับ ไม่ได้จงรักภักดีกับนายหรอกครับ” ราจีฟพูดจบก็อมยิ้ม อยู่ดีๆ ก็มาชมกันซึ่งๆ หน้า ถึงจะมาดแมนแฮนด์ซัม แต่เจอเจ้านายชมเข้าหน่อย เขาก็พูดต่อแทบไม่ถูก
“อลิตากับไอรินเป็นฝาแฝดกัน”
“อะไรนะครับ!” เงินในมือที่ราจีฟถือไว้หล่นลงพื้น พร้อมกับที่เสียงของเครื่องธนบัตรหยุดลง ในห้องทำงานมีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่
“ฉันจะใช้อลิตาเป็นตัวล่อให้ไอรินกลับมาเคลียร์เรื่องที่ฉันคาใจ”
“แล้ว... คุณไอรินเธอรู้ไหมครับว่าเธอมีฝาแฝด”
“ไม่มีใครรู้จักใครทั้งนั้น งานนี้สนุกแน่” อลีเซอร์ยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่คนสนิทอย่างราจีฟนั้นยิ้มไม่ออก เพราะรู้สึกเห็นใจอลิตา ส่วนไอรินนั้นเขาไม่ใส่ใจ เพราะเธอทำให้เจ้านายของเขาเจ็บช้ำมามาก