อาจจะเป็นความผิดปกตินี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขาต้องได้รับการรักษาเพื่อให้มีสภาพร่างกายเหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ และไม่จำเป็นที่จะต้องกินยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่น สำหรับอัลเบิร์ตแล้ว เขาไม่เห็นว่าเจเรมีจะดูเหมือนคนป่วยแม้แต่น้อย ร่างกายแข็งแรงกำยำขนาดนั้น ต่อให้ถูกรถบรรทุกชนก็ยังไม่ตายเลย เขาต่างหากที่ดูเหมือนคนป่วยมากกว่า
“จะถือมันอีกนานไหม ถ้านายไม่ใช้ก็ทิ้งมันไปซะ” เห็นเพื่อนยืนถือยาค้างอยู่นานก็เอ่ยปาก
อัลเบิร์ตพยักหน้า เก็บยาลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวขาเดินตามหลังของเจเรมีออกไป สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้าง ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด
ชายหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้า เคยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง ก่อนหน้านั้นที่เขาเห็นโอเมก้ายังสั่นระริกจนแทบจะคลั่งตาย ที่เจเรมีเป็นแบบนี้มันน่าแปลก
แต่...ในเมื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้าที่เป็นฮีท แล้วถ้ากับอัลฟ่าล่ะ เจเรมีจะมีปฏิกิริยาอะไรไหม
คิดแล้วก็นึกขำในความคิดของตัวเอง เพื่อนเขาเป็นอัลฟ่านะ แล้วอัลฟ่ามันจะไปมีฟีโรโมนกระตุ้นอารมณ์อัลฟ่าด้วยกันได้อย่างไร อัลฟ่าไม่สามารถเป็นฮีทได้ถ้าไม่มีโอเมก้ามากระตุ้น การสืบพันธุ์ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเบต้าเลยแม้แต่น้อย
เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…
“เอ้า ยืนทำอะไรอยู่ ตามมาเร็วๆ เข้า” เจเรมีหันมาเห็นอัลเบิร์ตยืนนิ่งก็ร้องเรียกอีก
คนถูกเรียกสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าหยุดเดินไปตอนไหน ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วเดินออกไปนอกสถาบันพร้อมกัน เผลอเหลือบมองซีกหน้าหล่อของเจเรมีเป็นระยะพลางสรุปความคิดของตัวเองไปด้วย
มีปฏิกิริยากับอัลฟ่างั้นเหรอ... เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เจมีก็แค่ป่วยเท่านั้น...
มาหยุดยืนอยู่หน้าตรอกแคบๆ ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าไปยังตลาดมืดหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้า อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ จนรู้สึกว่าเครื่องในของเขาแทบปลิ้นออกทางรูจมูก วันนี้ถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เจเรมีจะสังเกตเห็นบ้างไหมว่าทำให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวมีความหนักอกหนักใจเพียงใด
แน่นอนว่าไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาไม่สนใจที่จะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ เอาแต่มองเข้าไปในตรอกนั้น ดวงตาสีฟ้าสว่างคู่สวยเป็นประกายระยับ
“ดูโสโครกสุดๆ เลยว่าไหม”
ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมในเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันไม่ได้เชิญชวนให้อยากมองสักนิด สภาพตรอกนั้นค่อนข้างแคบพอให้คนเดินสวนกัน บนพื้นถนนปูด้วยอิฐสีแดงที่จางจนซีดแล้ว สองข้างทางมีอาคารหนึ่งชั้น บ้างก็สองชั้นหลังย่อมๆ เรียงรายกันเป็นแถว รอบข้างแทบจะไม่มีผู้คนเลยด้วยซ้ำนอกจากชายฉกรรจ์หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าอาคารเหล่านั้นเป็นจุดๆ พอถูกเจเรมีลากให้เดินเข้าไป ชายพวกนั้นก็มองมายังผู้มาใหม่ด้วยสายตาประหลาดใจ
ก็แน่ล่ะ เป็นใครจะไม่ประหลาดใจบ้าง จู่ๆ มีนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่ามาเดินเตร็ดเตร่ในเครื่องแบบเต็มยศอย่างนี้ก็ต้องสงสัยบ้างล่ะ เครื่องแบบที่เป็นชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งแบบนั้นเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาบันชนชั้นสูงแห่งนี้อยู่แล้ว
“ฉันว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย” อัลเบิร์ตทนกับสายตาที่มองมาอย่างมีคำถามของคนรอบข้างไม่ได้จึงจำเป็นต้องพูด
เจเรมีไม่หันมามอง ใบหน้าเหยียดยิ้มพรายราวกับเด็กที่ได้เข้าไปเล่นในสวนสนุก “เดินเข้ามายังไม่ทันถึงร้อยเมตรเลยก็ร้องจะกลับละ คิดถึงแม่หรือไงเจ้าหนูอัลเบิร์ต”
ถูกล้อเลียนกลับแบบนั้น อัลเบิร์ตก็ได้แต่หน้าม้าน เขาไม่ได้คิดถึงมารดาสักหน่อย แค่รู้สึกว่าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ต่างหาก นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่ตัดสินใจตามเจเรมีมา
ไม่...ไม่ใช่ เขาไม่ได้ตามเจเรมีมา พยายามห้ามแล้ว ปฏิเสธก็แล้วแต่ถูกลากมาในที่สุดน่าจะถูกต้องกว่า คนอย่างเจเรมีถ้าคิดจะทำหรืออยากได้อะไรแล้วก็ต้องให้ได้ดั่งใจเท่านั้น
“นายจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ ฉันเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว” หายใจไม่ออกจริงอย่างที่ปากพูด เขาอึดอัดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
เจเรมีหยุดเดิน หันไปมองหน้าเพื่อนด้วยความรำคาญ “ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้วะ”
“ฉันอึดอัดจริงๆ นี่หว่า ที่แบบนี้มันไม่ใช่ที่ที่เราสมควรจะมาเลยนะ ถ้ามีคนมาเห็นแล้วพ่อแม่นายรู้จะว่ายังไง”
“พ่อแม่ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ฉันเป็นผู้ชายนี่ แถมอายุก็ยี่สิบแล้ว ถ้าอยากจะเที่ยวตามประสาคนหนุ่มบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เจเรมีตอบพลางเชิดจมูกขึ้น
อัลเบิร์ตหมดคำจะเถียง จริงอย่างเจเรมีพูด การที่ชายหนุ่มมาโผล่ในสถานที่แบบนี้จะคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากมาหาโอเมก้าเพื่อระบายอารมณ์ทางเพศ เพราะตลาดมืดแห่งนี้นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้าที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลแล้ว ยังเป็นสถานบริการทางเพศที่มีโอเมก้าเป็นสินค้า พวกอัลฟ่าบางคนที่มีโอเมก้าในครอบครองก็มักจะเอามาขายหรือให้เช่าในลักษณะชั่วคราวในที่แห่งนี้
แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สถานที่ชวนพิศมัยสำหรับอัลเบิร์ตเลย ขนาดอัลฟ่าที่ชอบการสะสมของเล่นพรรค์นี้ยังแทบไม่เคยมาเหยียบย่างแถวนี้ด้วยตัวเอง มีแต่ส่งตัวแทนมา แล้วนี่เขามาถึงถิ่นเลยนะ มันทำให้อวัยวะภายในกระอั่กกระอ่วนอย่างไรก็ไม่รู้
“พ่อแม่นายไม่ว่า แต่มันไม่เหมาะสม ขืนมีใครมาเห็นว่าลูกชายคนเดียวของหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองมาเยี่ยมเยียนแถวนี้เข้า มันจะกลายเป็นข่าวเสียหายนะ”
“คิดว่าฉันสนเหรอ” เจเรมีตอบห้วนๆ
จนปัญญาจะหาข้ออ้างแล้วเพราะอัลเบิร์ตรู้ดีว่าเจเรมีไม่เคยสนคำนินทาอะไรพวกนั้น แต่ไม่ใช่แค่เจเรมีคนเดียวหรอก พวกเมอร์ซีทั้งครอบครัวยังไม่สนเลย
เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่สนโลกกันทั้งบ้านได้หรือเปล่านะ
คำตอบนั้นทำให้อัลเบิร์ตหน้าเจื่อน เจเรมีเหลือบมองท่าทางนั้นแล้วก็หัวเราะ
“หยอกเล่นแค่นี้ถึงกับจะร้องไห้เลยเหรอฮะ เด็กจริงๆ ด้วยนายเนี่ย” แล้วก็ตามมาด้วยการยีผมของเพื่อนสนิทจนยุ่ง
อัลเบิร์ตรีบจัดแต่งทรงผมทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินเจเรมีพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอเวลาสักชั่วโมง ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เดินให้ได้สักรอบก่อนแล้วค่อยกลับ นายคงจะโอเคนะ”
“ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วนายจะฟังหรือไง” เสียงบ่นอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน
เจเรมีหัวเราะตบท้ายเล็กน้อยก่อนจะเดินอาดๆ ไปตามถนนหนทางของตรอก ปล่อยให้เพื่อนรักเดินตามต้อยๆ เหลือบซ้ายแลขวาด้วยท่าทีอยู่ไม่สุขสักเท่าไหร่นัก