ตอนที่ 4 หวังฟางเซียน/3

1283 Words
โรงพยาบาลเสียเหอ ภายในห้องพักคนไข้  ร่างระหงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเพียงสายน้ำเกลือให้ทางเส้นเลือดเพื่อทำให้เธอไม่อ่อนเพลีย ทว่าฟางเซียนหลับใหลประหนึ่งเจ้าหญิงนิทราก้าวเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวยังคงนอนหลับไม่ยอมลืมตาขึ้นมาแม้แต่น้อย ท่ามกลางความห่วงใยของพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งรีบรุดเดินทางสู่แผ่นดินจีนทันทีที่ได้ทราบข่าวจากทางมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อหวังจิ้นหยางและคนเป็นแม่หวังเจิ้นลี่ ทั้งสองคอยผลัดเปลี่ยนดูแลแก้วตาดวงใจของเขาซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหวังด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ แม้นว่าทั้งคู่จะมีอาชีพแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ก็ตา แต่ก็ไม่สามารถหาสาเหตุการหลับใหลดั่งเช่นเจ้าหญิงนินทราของบุตรสาวเพียงคนเดียวได้ สร้างความทุกข์ใจให้กับคนเป็นพ่อและแม่อย่างยิ่งยวด “คุณคะ ทำไมฟางเซียนถึงได้หลับนานถึงเพียงนี้ นี่ก็เข้าห้าวันแล้ว ทำไมลูกของเรายังไม่ตื่นอีก เมื่อไรลูกจะตื่นเสียทีคะคุณ” เจิ้นลี่คร่ำครวญอยู่ตรงหน้าสามีก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาตัวเอง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของผู้เป็นสามีเมื่อเห็นภรรยาตกอยู่ในความเศร้าโศกเช่นนั้น “ถ้าลูกของเรายังหลับไม่ยอมตื่นแบบนี้เห็นทีคงต้องพาลูกกลับอเมริกา บางทีลูกอาจจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ถ้าไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินจีนต่อไป” เจิ้นลี่เงยหน้ามองสามีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “คุณหมายความว่ายังไงฉันไม่เข้าใจ อธิบายให้ชัดเจนและให้เข้าใจอีกครั้งได้ไหมคุณ” เธอบอกสามีสีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลมิใช่น้อย จิ้นหยางมองหน้าภรรยาของเขาก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวเมื่อสิบเก้าปีก่อน เหตุการณ์ที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปตลอดชีวิตนับตั้งแต่ที่เขาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในวินาทีที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาได้เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ “เมื่อสิบเก้าปีก่อนวันที่ฟางเซียนเกิด ผมเห็นผู้ชายในชุดนักรบโบราณยืนมองฟางเซียนตอนที่เธอเกิดมาในขณะที่คุณกำลังอุ้มอยู่ในห้องผ่าตัด ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาดแต่คุณเชื่อไหมว่า ผมเห็นผู้ชายในชุดนักรบโบราณคนนั้นทุกวันทุกคืนเขาจะคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ฟางเซียนอยู่ตลอดเวลา และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงย้ายไปอยู่อเมริกา เพราะผมกลัวว่าสักวันหนึ่งผู้ชายคนนั้นจะมาเอาลูกของเราไป” จิ้นหยางเล่าเหตุการณ์ที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นพบให้ภรรยาคู่ชีวิตได้ล่วงรู้ คำกล่าวของสามีเล่นเอาเจิ้นลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง เก็บเอาไว้ทำไมคนเดียวแต่บางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษทางคุณหรือทางฉันก็ได้นะคะ ที่คอยตามปกป้องลูกของเรา “ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ แต่ตรงข้ามมันไม่ใช่เลย” คำกล่าวของสามีทำให้ภรรยาคู่ชีวิตถึงกับยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง “คุณหมายความว่ายังไงจิ้นหยาง” เธอถามพร้อมมองหน้าสามีเพื่อรอคอยคำตอบ จิ้นหยางเงียบงันไปเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาเมื่อนึกถึงคำกล่าวเมื่อสิบเก้าปีก่อนของดวงวิญญาณนักรบที่เขาเห็น “นักรบโบราณคนนั้นเขาบอกกับผมว่า ฟางเซียนเป็นของเขา เมื่อถึงเวลาเธอจะต้องไปอยู่กับเขาตลอดกาล” สิ้นเสียงกล่าวของสามีเจิ้นลี่แทบจะไร้สิ้นเรี่ยวแรง คำกล่าวที่แลดูเลื่อนลอยแทบไม่มีสาระและไม่สามารถเชื่อได้หากเป็นชนชาติอื่นย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แต่ชาวจีนนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขานับถือบรรพบุรุษและดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วอย่างยิ่งยวด ดังนั้นสิ่งนี้จึงถูกสอนมานับรุ่นต่อรุ่น “แล้วทำไมคุณถึงไม่ทัดทานยายหนูของเรา ปล่อยลูกเราให้มาที่นี่ทำไมในเมื่อล่วงรู้ว่าสักวันเขาจะมาเอาลูกของเราสองคนไป” “เพราะผมไม่อยากขัดใจลูก แกอยากมาเรียนและอยากมาอยู่ที่นี่ทำด้วยตัวเองจนสำเร็จ เราสามารถปฏิเสธได้เหรอ อีกอย่างเพราะผมคิดว่า เรื่องมันผ่านมานานแล้วมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระมัง แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ไม่กี่วันลูกก็กลายมาเป็นแบบที่เราเห็นอยู่ตอนนี้” จิ้นหยางพูดพร้อมส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจของเขา จนภรรยาคู่ชีวิตก้าวเข้ามาสวมกอดพร้อมปลอบโยน “ลูกเรายังไม่ตาย เธอเพียงแค่กำลังหลับยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าวิญญาณนักรบที่คุณเห็นจะเอาลูกไปอยู่ด้วยจริงๆ ป่านนี้ยายหนูคงไม่อยู่ในสภาพนี้ เราสองคนจะต้องจัดงานศพให้ลูกเสียมากกว่า บางทีอาจมีปาฏิหาริย์ก็ได้นะคุณฉันเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น” เจิ้นลี่บอกกับสามีด้วยความมั่นใจ แววตาของเธอในขณะนี้มีความมุ่งมั่นเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดผิดกับตอนแรก สองสามีภรรยาต่างสวมกอดกันภายในห้องพักของคนไข้ สายตาของทั้งคู่เฝ้ามองร่างระหงตรงหน้าที่กำลังหลับใหลอยู่ในขณะนี้ให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตื่นมาพบกับพ่อและแม่ของเธอ หากแม้นดวงวิญญาณของลูกสถิตอยู่ที่ร่าง ขอจงรับรู้ไว้เถิดว่าพ่อและแม่เฝ้ารอคอยให้เจ้าฟื้นขึ้นมา แต่หากแม้นดวงวิญญาณล่องลอยไม่ได้สถิตอยู่ที่ร่างแล้วไซร้ ขอพ่อและแม่ได้รู้ว่าเจ้าอยู่แห่งหนใด ทั้งสองจะติดตามเอาดวงวิญญาณของลูกน้อยให้กลับคืนสู่ร่างงามนี้ดั่งเดิม [1] บุ่นเชียงตี่กุน (อักษรจีน: ****) หรือเรียกตามสำเนียงจีนกลางว่า เหวินชาง เป็นเทพเจ้าจีน โดยนับถือว่าเป็นเทพแห่งการอำนวยประโยชน์ในด้านการศึกษา, งานประพันธ์, อักษรศาสตร์, การรับราชการ และการสอบเข้ารับราชการ (ฝ่ายพลเรือน) โดยมีชีวิตอยู่จริงในสมัยราชวงศ์จิ้นในสมัยจักรพรรดิจิ้นเซี่ยวหวู่และเป็นเทพเจ้าจีนที่รู้จักและนับถือในประเทศไทยโดยเรียกตามสำเนียงกวางตุ้งว่า พระเจ้าหมั่นเช้งและเรียกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า บุ่งเชี้ยง [2] มหาวิทยาลัยปักกิ่ง (อังกฤษ: Peking University) (**; Chinese: ****, pinyin: Běijīng Dàxué) Bei-Da) นิยมเรียกกันว่าเป่ยต้า เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติของจีน 1 ใน 9 (C9 League) เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยชิงหฺวา เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชั้นนำของรัฐที่มีชื่อเสียง มีสถาปัตยกรรมแบบจีนที่โดดเด่น มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองในปี พ.ศ 2532 ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน [1] และจากการจัดลำดับโดย Qs University Ranking มหาวิทยาลัยปักกิ่งอยู่ในลำดับที่ 39 ของโลก และลำดับ 9 ในเอเชีย [2] [3] ตัวอักษรแบบเจี่ยกู่เหวินเป็นตัวอักษรโบราณชนิดหนึ่งที่แกะสลักบนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์ ในสมัยราชวงศ์ซาง กษัตริย์ต้องทำพิธีเสี่ยงทายก่อนจะทรงทำพระราชภารกิจใดๆ กระดองเต่าและกระดูกสัตว์ก็คืออุปกรณ์การเสี่ยงทายในสมัยนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD