ตอนที่ 3 หวังฟางเซียน /2

2837 Words
ชั้นสาม  ฟางเซียนค่อยๆ เลือกหาหนังสือประวัติศาสตร์ของสมัยราชวงศ์ถังและต้องการอ่านหนังสือในรัชสมัยของถังเสวียนจงฮ่องเต้เป็นกรณีพิเศษ ด้วยเพราะความฝันเมื่อคืนทำให้เธออยากล่วงรู้อะไรบางอย่าง ความรู้สึกภายในบอกกับเธอว่า ทุกคนที่เห็นในความฝันล้วนแล้วแต่รู้จักทั้งสิ้น “ประวัติศาสตร์ในรัชสมัยถังเสวียนจง มีบันทึกไว้ตั้งมากมายทำยังไงเราถึงจะรู้ว่าเลือกอ่านอะไรจึงจะถูกประเด็นตามที่เราอยากรู้กันนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำอยู่เพียงคนเดียว ร่างงามแบกหนังสือเล่มเขื่องเอาไว้หลายเล่มก่อนจะนำมาวางไว้บนโต๊ะหนังสือ พลางพิจารณาแต่ละเล่มที่มีความหนาหลายพันหน้าเลยทีเดียว “โอ้โห หนาขนาดนี้หล่นมาทับหัวคงสลบเหมือดแน่ๆ ทั้งหนาทั้งหนักโคตรๆ ว่าแต่จะเริ่มต้นอ่านอะไรก่อนดีน้า” หญิงสาวพูดพร้อมยกหนังสือทีละเล่มมาอ่านชื่อเรื่อง โดยไม่ได้สังเกตหรือใส่ใจร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังทรุดกายลงนั่งตรงข้ามเธออยู่ในขณะนี้ มีเพียงกองหนังสือตรงหน้าเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจเหนือกว่าสิ่งใด ฟางเซียนใช้เวลาช่วงเช้าอ่านหนังสือตรงหน้าไปได้เกินครึ่ง หากแต่ไม่ใช่เรื่องราวที่เธอใคร่อยากรู้ มือเรียวสวยคว้าหนังสือเล่มอื่นๆ ที่วางซ้อนกันขึ้นสูงเพื่อพิจารณาอีกรอบว่าควรจะเลือกเล่มไหนไปอ่านดี “จะยืมทั้งหมดนี้ไปอ่านก็ใช่ว่าจะมีข้อมูลที่เราอยากรู้ แต่ถ้าไม่ยืมจะรู้ได้ไงว่ามีสิ่งที่เราต้องการรู้หรือเปล่าเอาไงดีน้าฟางเซียน... คิดสิ... คิด” หญิงสาวรำพึงเบาๆ ก่อนจะได้ยินเสียงของชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามเธอเอ่ยขึ้น “ถ้าต้องการอ่านระบบราชการและการจัดกองทัพในรัชสมัย ถังเสวียนจง แนะนำให้อ่านหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่าการสอบเข้ารับราชการในราชวงศ์ถัง ภายในนั้นมีรายละเอียดทั้งหมดที่อยากรู้ และถ้าต้องการอ่านเกี่ยวกับนางสนมนางใน แนะนำให้อ่านหนังสือเรื่องพระราชวังฉางอาน” ชายคนดังกล่าวเอ่ยบอกพร้อมส่งยิ้มละไมให้เธอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางเซียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกหนังสือของเธอ ครั้นดวงตาคู่สวยเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า หญิงสาวถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะด้วยเพราะบุรุษตรงหน้าในขณะนี้ช่างเหมือนคนที่เธอรู้จักเสียนี่กระไร แต่เหตุใดเล่าจึงนึกไม่ออกว่าเหมือนใคร “เอ่อ... ขอบคุณค่ะที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่ฉันต้องการจะอ่าน... แต่ทำไมถึงทราบล่ะคะว่าฉันกำลังต้องการอ่านเรื่องอะไร” หญิงสาวพูดพร้อมมองใบหน้าของบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำไมผู้ชายคนนี้เหมือนเราเคยรู้จักและเห็นเขาที่ไหนมาก่อนหว่า คุ้นหน้าคุ้นตาจังเลยแต่ทำไมถึงนึกไม่ออก” ฟางเซียนรำพึงอยู่ภายในใจ ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ราวกับล่วงรู้ความในใจของหญิงสาวตรงหน้า ทว่าแลดูราวกับว่าชายตรงหน้าหาได้แปลกใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับก้มศีรษะลงเล็กน้อยประหนึ่งยอมรับว่าเขาคือคนเธอเคยรู้จัก “ใบหน้าของผมมีอะไรที่ทำให้คุณผู้หญิงต้องแปลกใจอย่างนั้นเหรอครับ” เขาเปิดฉากถามกลับไปเมื่อดวงตาคู่สวยของหญิงสาวยังคงมองเขาอยู่เช่นนั้น และนั่นทำให้ฟางเซียนรู้สึกตัวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเขาถาม ก่อนจะคลี่ยิ้มแห้งๆ แก้อาการขัดเขินที่จ้องมองผู้ชายตรงหน้าชนิดที่ไม่วางตาเลยทีเดียว แต่ที่จ้องไม่ใช่เพราะความหล่อเหลาของเขาแต่เป็นเพราะผู้ชายตรงหน้าเหตุใดจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยและรู้จักเขามาก่อนเสียนี่กระไร “เอ่อ... ขอโทษค่ะที่เผลอจ้องหน้าคุณอย่างเสียมารยาท บังเอิญว่าคุณเหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักแต่ก็ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใครเหมือนกัน แต่ฉันมีความรู้สึกว่ารู้จักคุณมานานมากกกก” หญิงสาวลากเสียงยาวตอบกลับไปตามความเป็นจริง บุรุษหนุ่มตรงหน้านั่งมองหญิงสาวอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มให้ออกมาบางๆ เมื่อได้ยินเธอบอกกับเขาเช่นนั้น “ผมเหมือนเขามากอย่างนั้นเลยเหรอ” เขากล่าวย้ำเสียงหนัก ฟางเซียนพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ “ทำไมจู่ๆ เราก็จำความฝันเมื่อคืนไม่ได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ นะ ก่อนจะมาห้องสมุดยังจำได้อยู่เลยแปลกจริงๆ แล้วทำไมถึงมีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คุ้นหน้าคุ้นตาจัง แต่จะว่าไปความรู้สึกไม่ใช่ความจริงสักหน่อย จะไปจริงจังอะไรกันหนักกันหนาฟางเซียน” เธอรำพึงอยู่ภายในใจก่อนจะต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับกล่าวคำที่ทำให้เธอถึงกับนิ่งงันไปเลยทีเดียว “ความรู้สึกแม้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าความรู้สึกคุ้นเคยจนสามารถที่จะระบุตัวตนจนเห็นแจ่มชัด จากความรู้สึกที่สัมผัสได้จะกลายเป็นความฝัน และฝันนั้นก็คือเรื่องจริงในอดีตที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานเป็นการย้ำเตือนอีกฝ่ายให้ได้จดจำ การรอคอยของบุรุษที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะติดตามคนที่เขาเฝ้ารอคอยทุกเวลา ทุกวินาที ทุกชั่วโมงจะผ่านไปนานกี่ร้อยปีหรือกี่พันปี ดวงจิตและดวงวิญญาณยังคงจดจำคำสัญญานั้นไม่เปลี่ยนแปลง” “พรึ่บ!” ถ้อยคำของผู้ชายตรงหน้าทำให้ฟางเซียนถึงกับขนลุกตั้งชัน และจากคำพูดของเขาทำให้เธอเริ่มกลัวในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาทันที “เอ่อ... ฉัน...” หญิงสาวได้แต่อึกอักยังมิทันกล่าวสิ่งใดออกมาอีก จู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเธอก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ซึ่งเขาตัวใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว คะเนว่าไม่ต่ำกว่าร้อยเก้าสิบเซนติเมตร มิหนำซ้ำไม่ได้มีรูปร่างบางผอมเพรียวแต่อย่างใดหากแต่สูงทะมึนบึกบึนน่าเกรงขามและน่ากลัวเสียเหลือเกิน ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา มันน่ากลัวมากกว่าจะน่ามองยังไงก็ไม่รู้ “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่ อีกอย่างถ้าคุณอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับในรัชสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ ไปที่ตู้หนังสือใบสุดท้าย ชั้นที่สี่แถวกลาง หลังตู้ไม้นั้นมีช่องลับให้เลื่อนบานไม้ออกจะเห็นหีบไม้ภายในนั้นบรรจุของบางอย่างที่จะนำคุณไปสู่ฉางอาน เมื่อเห็นหีบนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะบอกด้วยตัวของมันเอง แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้งลี่เซียน!” ประโยคสุดท้ายจู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยชื่อของผู้หญิงในความฝันออกมาได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเซียนถึงกับนิ่งงันไปทันทีมองแผ่นหลังของชายคนดังกล่าวกำลังเดินออกไปจากโต๊ะที่กำลังนั่ง ใบหน้าสวยหันกลับไปมองตู้ใบสุดท้ายตามที่เขาบอกก่อนจะหันกลับมามองเขาอีกครั้ง “เฮ้ย!... หายไปแล้ว... คนอะไรทำไมถึงได้เดินเร็วขนาดนี้... เมื่อกี้ยังเห็นเดินอยู่ตรงหน้าอยู่เลย... ทำราวกับว่าหายตัวได้หรือว่าเราตาฝาด... ไม่ใช่สิ ตาไม่ฝาดสักหน่อย... เมื่อกี้เขาเป็นคนชัดๆ ผีที่ไหนจะโผล่มาตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้เป็นไปไม่ได้หรอก นี่มันคือโลกแห่งศตวรรษที่ 21 นะไม่ใช่ยุคอดีตสมัยโบราณหลายพันปีก่อนเสียที่ไหนกันเล่า” หญิงสาวสะบัดศีรษะตัวเองไปมาอย่างแรงเพื่อขับไล่ความมึนงง ใบหน้าสวยหันกลับไปมองตู้ใบสุดท้ายตามคำกล่าวของบุรุษแปลกหน้าที่บอกเธอเป็นปริศนาดั่งเขาวงกตก็ว่าได้ ร่างงามค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางก้าวเดินไปยังตู้ใบสุดท้ายเพื่อทดสอบว่าคำพูดของชายแปลกหน้าคนนั้นเป็นจริงอย่างที่พูดหรือไม่ “เราไม่ได้งมงายแต่กำลังจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับเรามันคือเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องโจ๊กมาล้อกันเล่น” ฟางเซียนเดินไปรำพึงไปตลอดทางที่ก้าวเดินไปยังตู้ใบสุดท้ายที่ตั้งอยู่ในมุมมืดและไร้ผู้คนเดินผ่าน ภายในตู้ดังกล่าวเต็มไปด้วยหนังสือเก่ามากมาย และถ้าหากเป็นหนังสือในยุคโบราณของจริงจะถูกนำไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แต่จะมีการคัดลอกของเลียนแบบเพื่อจัดแสดงไว้ในห้องพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพื่อสอนนักศึกษาในภาควิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ร่างระหงหยุดยืนหน้าตู้หนังสือก่อนจะใช้มือเรียวเริ่มต้นควานหาหลังตู้ไม้พร้อมใช้มือสัมผัสกับแผ่นไม้ไปตลอดทาง ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อนิ้วเรียวของเธอสัมผัสแผ่นไม้หลังตู้ไม่เสมอกันเข้าให้แล้ว ก่อนจะใช้มือหยิบหนังสือที่วางเรียงอยู่ตรงหน้ามาถือไว้ในมืออีกข้าง จนเผยให้เห็นแผ่นไม้หลังตู้ช่วงกลางไม่เรียบเนียนดั่งที่ควรจะเป็น “เอาแล้วไง! แผ่นไม้หลังตู้ไม่เรียบเนียนแบบนี้ จะมีของซ่อนอยู่หลังตู้จริงๆ หรือนี่” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองก่อนจะออกแรงใช้มือพยายามเลื่อนรอยต่อไปข้างใดข้างหนึ่งแต่ผลก็คือยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเธอออกแรงเลื่อนแผ่นไม้ดั่งกล่าวอยู่นานเกือบสิบหานาที “โอ๊ย! มันคงไม่มีอะไรหลังตู้หรอกกระมัง จะบ้าตาย... ทำไมถึงได้เชื่อคนง่ายเป็นตุเป็นตะแบบนี้นะฟางเซียน” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะวางหนังสือที่เธออุ้มอยู่อีกข้างนำไปเรียงไว้ตามเดิม “แกร๊ก!” ปลายนิ้วสะกิดไปโดนรอยต่อด้านล่างจนเผยให้เห็นช่องว่างเลื่อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ย! ช่องลับ!” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นช่องลับเปิดแง้มขึ้น เธอใช้นิ้วเรียวดันแผ่นไม้ให้เลื่อนขึ้นจนกระทั่งสุดแผ่นไม่สามารถเลื่อนขึ้นได้อีก ร่างระหงค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมายืนมองสิ่งที่อยู่ด้านใน ซึ่งเธอเห็นหีบไม้วางอยู่ภายในนั้นตามคำกล่าวของผู้ชายแปลกหน้าไม่ผิดเพี้ยน “มีจริงๆ ด้วย สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นบอกเรามันมีอยู่จริงหรือนี่” ในเวลานี้ฟางเซียนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีช่องลับซ่อนเร้นของบางอย่างเอาไว้หลังตู้จริงๆ ทันใดนั้นเอง “เก็บหีบใบนั้นให้ติดกายเจ้าตลอดเวลา เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อไปฉางอาน” เสียงปริศนากระซิบแผ่วอยู่ชิดริมหูของหญิงสาวจนเธอต้องหันกลับไปมองรอบตัวว่ามีใครอยู่ในบริเวณนั้น “สะ... เสียงใคร... ในบริเวณนี้ก็ไม่มีใครเลยนอกจากเรา นี่เราหูฝาดหรือได้ยินจริงๆ กันแน่ๆ” ฟางเซียนกล่าวพร้อมกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยกำลังตัดสินใจว่าควรจะหยิบไปดีหรือไม่นั่นเอง หญิงสาวยืนนิ่งมองสิ่งที่อยู่ภายในช่องลับหลังตู้หนังสืออยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด “เอาก็เอาเป็นไงเป็นกัน ถ้าเป็นของโบราณเราก็นำไปให้กองโบราณคดีและประวัติศาสตร์จีนไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ มันคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” หญิงสาวพูดพร้อมตัดสินใจเดินเข้าไปจนชิดตู้พร้อมเอื้อมมือหยิบหีบไม้โบราณดังกล่าวออกจากช่องลับหลังตู้หนังสือทันที “แวบบบบ!!!” ทันทีที่มือเรียวสัมผัสกับหีบไม้โบราณ แสงสว่างเจิดจ้ามิรู้มาจากแห่งหนใด สว่างวาบจนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่า พร้อมๆ กับร่างระหงของฟางเซียนล้มลงหมดสติไปที่พื้นห้องทันที โดยมีหีบไม้โบราณอยู่ในมือเรียวซึ่งเธอกอดเอาไว้แนบอก หีบไม้โบราณดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา ก่อนจะมาปรากฏอยู่ในมือของหญิงสาวซึ่งนั่นก็คือดวงวิญญาณของฟางเซียนนั่นเอง เธอกำลังยืนมองร่างของตัวเองที่นอนหมดสติอยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงงและสับสนไปหมดก่อนจะก้มลงมองเมื่อในมือปรากฏหีบไม้โบราณอยู่ในขณะนี้ “นี่... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา... ทำไมเรายืนอยู่ตรงหน้าและก็นอนอยู่ตรงนั้นด้วยนี่มันหมายความว่ายังไงกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” หญิงสาวพึมพำแต่เพียงผู้เดียวในโลกแห่งวิญญาณ ทันใดนั้นเอง หีบไม้โบราณก็ถูกเปิดออกเอง เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือชิ้นส่วนของกระดองเต่าที่สลักด้วยตัวอักษรเจี่ยกู่เหวิน[3] เป็นอักษรจีนโบราณในสมัยยุคสร้างแผ่นดินจีน และภายในหีบโบราณยังมีจารึกโบราณที่เขียนลงบนลำไผ่แต่ละแผ่นทั้งแคบและยาวโดยมีเชือกหนังวัวนำมาเรียงร้อยมัดติดกันเอาไว้และม้วนอยู่ในหีบไม้โบราณ ซึ่งของทั้งสองสิ่งหากนับอายุตั้งแต่สร้างแผ่นดินจีนในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันมันช่างผ่านกาลเวลาอันยาวนานมานับหลายพันปีเลยทีเดียว “นี่มันกระดองเต่าที่นิยมจารึกคำเสี่ยงทายและเรื่องราวต่างๆ บนกระดูกสัตว์ในราชวงศ์ซาง หีบไม้นี่มีของโบราณหลายพันปีอยู่ในนี้เหรอเนี่ยไม่น่าเชื่อเลย” ด้วยความอยากรู้อยากเห็นประกอบกับเป็นคนชอบอ่านหนังสือทุกชนิดจนเป็นชีวิตจิตใจ ดวงวิญญาณของฟางเซียนเอื้อมมือหมายหยิบกระดองเต่าโบราณที่จารึกคาถาโบราณบางอย่างเอาไว้เพื่อนำขึ้นมาพิจารณาในระยะใกล้ชิดด้วยความอยากรู้ ทันใดนั้นเอง “พรึ่บบบบ” ทันทีที่มือเรียวของหญิงสาวสัมผัสกับกระดองเต่าที่จารึกอักษรโบราณ ดวงวิญญาณของเธอถูกดูดเข้าไปภายในกระดองเต่าที่สลักคาถาโบราณนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดของเธอ “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที! ช่วยด้วยยยย!!!” หญิงสาวร้องขอความช่วยเหลือดังกึกก้องไปทั่วโลกแห่งวิญญาณ ทว่าหามีผู้ใดช่วยเหลือเธอได้แม้แต่น้อย ก่อนจะเงียบงันเมื่อดวงวิญญาณล่องลอยหายเข้าไปกระดองเต่าดั่งคำจารึกคาถาโบราณนั้น เพราะนี่คือชะตาฟ้าลิขิตจากสรวงสวรรค์ มีพระบัญชาให้หวังฟางเซียนกลับไปในอดีตกาลอีกครั้ง โดยที่เธอไม่ล่วงรู้เลยว่า กระดองเต่าที่จารึกคาถาโบราณนั้นได้ระบุเอาไว้ว่า “โชคชะตาจะพลิกผัน หากแม้นผู้ใดแตะต้องจารึกโบราณ จากอดีตกาลสู่อนาคต จากอนาคตสู่อดีตกาล แม้นร่ายคาถาดั่งตามรอยจารึกทุกสิ่งที่ตายจะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งและคงอยู่เป็นอมตะชั่วนิจนิรันดร์” และนี่คือจารึกโบราณซึ่งเป็นคาถาสุดยอดที่บรรดาองค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินมังกรเฝ้าเพียรติดตามเพื่อเอาชนะกับความตาย เพื่อสถิตอยู่คู่กับแผ่นดินและเป็นอมตะไปตลอดกาล ซึ่งไม่เคยมีใครล่วงรู้เลยว่าจารึกโบราณที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์ถูกเขียนลงบนลำไผ่ที่ม้วนอย่างเป็นระเบียบ นอนสงบนิ่งอยู่ภายในหีบโบราณดังกล่าว ซึ่งในสมัยอดีตกาลถูกซ่อนเร้นไว้ในหอสมุดของพระราชวังฉางอานในยุคอดีต โดยมีตระกูลจ้าวเป็นผู้รักษาดูแลความลับสุดยอดนี้ ห้ามเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิ ท่ามกลางความเงียบงันในโลกแห่งวิญญาณ บัดนี้แสงสว่างเจิดจ้าที่ค่อยๆ เลือนหายไป ทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในห้องสมุดต่างมองมาที่จุดเดียวกันนั้นก็คือตู้หนังสือใบสุดท้ายที่บัดนี้มีร่างของหญิงสาวแรกรุ่นนอนไม่ได้สติอยู่กับพื้น และที่สำคัญตู้หนังสือที่เคยมีช่องลับเก็บของมีค่าเอาไว้ภายในกลับเลือนหายไปชั่วพริบตาราวกับว่าไม่เคยมีช่องลับนั้นมาก่อน แม้แต่หีบไม้โบราณที่เคยอยู่ในมือของหญิงสาวซึ่งหมดสติไปทั้งๆ ที่ยังกอดหีบไม้โบราณเอาไว้แนบอกอยู่เช่นนั้นกลับไม่ปรากฏอีกเลยราวกับว่าไม่มีสิ่งมีค่าดังกล่าวปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบันอีกต่อไป ความวุ่นวายจึงบังเกิด ห้องสมุดที่รวมสรรพวิชามากมายเต็มไปด้วยผู้คนวิ่งพล่านเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวแสนสวยจนแลดูอลหม่านไปหมด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD