หนึ่งเดือนผ่านไป
บ้านตระกูลจางในยามนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ บ่าวไพร่นับร้อยทั้งชายหญิงต่างเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรคุณหนูเล็กของตระกูลจะฟื้นขึ้นมาเสียที นับตั้งแต่พลัดตกลงไปในบ่อน้ำจนกระทั่งถูกช่วยขึ้นมา หมอยาที่ว่าเก่งกาจจากทั่วทุกสารทิศถูกเกณฑ์มารักษาคุณหนูบ้านตระกูลจางคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้จางลี่เซียนฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลทอดกายอยู่บนฟูกนอนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
“ท่านพี่ลี่เซียนนอนอยู่แบบนี้มาเดือนหนึ่งแล้ว มิมีทีท่าว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาเสียที ข้าเป็นห่วงลูกใจจะขาดยิ่งแล้ว ทำไมนะเหตุใดจึงต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย” จางฮูหยินกล่าวพร้อมยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับน้ำตาของตัวเองด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก
ท่อนแขนใหญ่ของผู้เป็นสามีตรงเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม สีหน้าของผู้นำตระกูลจางในขณะนี้มีแต่ความทุกข์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“ทำใจดีๆ ไว้ฮูหยิน ลี่เซียนของเราจะต้องฟื้นขึ้นมา ลูกของเราต้องฟื้น ซึ่งข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น”
“แต่นี่หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะท่านพี่ยังไม่มีวี่แววที่ลูกจะฟื้นเลย ถ้าหากไม่ตื่นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไรต่อไปดี โธ่ ลูกรักของแม่ ตื่นขึ้นมาเถิดลี่เซียน เจ้าล่วงรู้หรือไม่ว่าแม่จะขาดใจตายอยู่แล้ว หากแม้นเจ้าเป็นอะไรแม่หามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก” จางฮูหยินเริ่มร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางสายตาของจางหยวนฟู่ที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ... ท่านแม่” เสียงของบุตรชายคนที่ห้าเอ่ยเรียก
สองสามีภรรยาหันไปมองตรงหน้าประตูห้อง เมื่อเห็นร่างใหญ่ของบุตรชายกำลังก้าวเข้ามาภายในห้อง
“มีอะไรอี้หาน ที่โรงงานกระดาษมีอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้นรึ” หยวนฟู่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นบุตรชายคนที่ห้าซึ่งตนมอบหมายให้ดูแลกิจการกระดาษซวนจื่อร่วมกับบุตรชายคนที่สองและหก
ทั้งนี้จางหยวนฟู่เริ่มจะวางมือจากกิจการที่เป็นขุมทรัพย์มหาศาลให้กับตระกูลจางมาโดยตลอดด้วยอายุที่มากขึ้นทุกปีจนก้าวเข้าสู่วัยชราเมื่อปีนี้เข้าสู่อายุปีที่หกสิบหกจางหยวนฟู่จึงแบ่งกิจการให้บุตรชายทั้งหมดเป็นผู้ดูแลแยกตามความถนัดของแต่ละคน ซึ่งบุตรชายคนโต คนที่สาม และคนที่สี่ คอยดูแลกิจการผ้าไหม ส่วนบุตรชายคนที่เจ็ดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงได้ขอออกบวชไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทางโลก และเดินทางไปจำวัดแถวเทือกเขาซงซานซึ่งก็คือวัดเส้าหลินนั่นเอง
จางอี้หานไม่กล่าวถ้อยคำใดๆ ออกมาหากแต่กลับเบี่ยงร่างสูงใหญ่ของตนที่ยืนขวางประตู จนเผยให้เห็นนักบวชหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องซึ่งก็คือ จางเฟยเทียน บุตรชายคนสุดท้องที่ออกบวชไปนั่นเอง
“โอ! เฟยเทียน” สองสามีภรรยาต่างเรียกชื่อบุตรชายคนที่เจ็ดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อาตมามาเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่” หลวงจีนหนุ่มเอ่ยพร้อมเจริญคำภาวนาให้พรบิดามารดา
จางฮูหยินอยากเข้าไปสวมกอดบุตรชายคนที่เจ็ดยิ่งนักเพราะนับตั้งแต่ขอออกบวชแล้วเดินทางไปจำวัดที่เส้าหลินเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ไม่ได้พบกันอีกเลย นำพาความปลาบปลื้มใจให้แก่นางอย่างยิ่งยวด
“แม่ดีใจเหลือเกินที่หลวงจีนท่านเดินทางมาเยี่ยมเยียนพ่อและแม่ ท่านช่างอยู่ห่างไกลยิ่งนัก เทือกเขาซงซานช่างไกลเสียเหลือเกิน ทั้งพ่อและแม่ก็แก่ชราจะเดินทางไปหาก็ไม่ไหวกับเส้นทางที่แสนจะทุรกันดาร แล้วนี่เหตุใดท่านจึงมาถึงลั่วหยางมีการณ์หยั่งรู้สิ่งใดเช่นนั้นรึ” จางฮูหยินเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางก้าวเข้าไปหาบุตรชายคนสุดท้องใคร่อยากโอบกอดให้หายคิดถึงแต่ก็มิอาจทำได้
“นั่นน่ะสิ! มีสิ่งใดที่ท่านจำต้องมาลั่วหยางด้วยตัวเอง ปกติหากต้องการสิ่งใดจะให้หลวงจีนธุดงค์ที่เดินทางผ่านมาแวะมาส่งข่าวมิใช่รึ” จางหยวนฟู่อดไม่ได้ที่จะสงสัยเช่นกัน
หลวงจีนเฟยเทียนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินท่านพ่อท่านแม่กล่าวออกมาเช่นนั้น
“ข้าจำต้องเดินทางมาด้วยตัวเองก็เพราะมีนิมิตเกี่ยวกับลี่เซียนและยังมีจดหมายจากท่านเจ้าอาวาสฝากมาถึงท่านพ่อและท่านแม่ด้วย” กล่าวพร้อมใช้มือล้วงเข้าไปใต้ชายแขนเสื้อพร้อมดึงจดหมายยื่นส่งให้บิดา
“ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันก็คือหลวงจีนที่เคยทำนายท่านแม่เกี่ยวกับลี่เซียนเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ข้าและท่านได้นิมิตมาพร้อมกันจึงต้องเร่งเดินทางมาหา ขอให้ท่านพ่อท่านแม่ได้โปรดปฏิบัติตามดั่งคำแนะนำของท่านเจ้าอาวาสด้วยเถิด”
จางหยวนฟู่ถึงกับยืนนิ่งงันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ที่แท้หลวงจีนธุดงค์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนก็คือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินหรือนี่ โอ... ท่านมีญาณหยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ของลี่เซียนมาโดยตลอดก่อนจะเกิดและเกิดมาแล้ว” จางหยวนฟู่กล่าวพลางรีบคลี่จดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนนิ่งไม่ไหวติงเมื่ออ่านข้อความที่เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้ส่งสารมา
“จะต้องให้น้องเป็นแบบนั้นเหรอเฟยเทียน มันเหมือนยิ่งส่งน้องให้เข้าถ้ำเสือแทนที่จะเก็บน้องให้พ้นสายตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดตอนนี้ลี่เซียนยังไม่ได้สติกลับคืนมาเลย น้องนอนอยู่แบบนี้มานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว” คำกล่าวขอหยวนฟู่ทำให้จางฮูหยินอดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยแทรกทะลุกลางปล้องขึ้นมาทันที
“มีอะไรเกิดขึ้นท่านพี่ จดหมายจากท่านเจ้าอาวาสเขียนมาเช่นไรเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นออกมา”
หยวนฟู่ยื่นจดหมายส่งให้บุตรชายคนที่ห้าแทนคำตอบพร้อมเอ่ยขึ้น
“อี้หาน... จงอ่านจดหมายให้แม่ของเจ้าได้ล่วงรู้”
“ขอรับท่านพ่อ” จางอี้หานเอ่ยรับคำพร้อมรับจดหมายจากมือบิดาพลางประคองร่างของมารดาให้ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะอ่านข้อความในจดหมายให้นางฟัง
ข้างฝ่ายจางเฟยเทียนค่อยๆ เดินเข้าไปหาน้องสาวคนสุดท้องซึ่งกำลังหลับใหลไม่ได้สติ ก่อนจะพยักหน้าให้หยุนซีและลู่อิงสาวใช้ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเปิดม่านบังเตียงให้เห็นร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างใน
“เจ้าสองคนเปิดม่านแล้ว ออกไปรอข้างนอกและห้ามใครเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด หากยังไม่มีใครเรียก
“เจ้าค่ะ” สองสาวใช้รับคำพร้อมรีบเปิดม่านบังตาออกอย่างรวด เร็ว โดยมีร่างของจางหยวนฟู่เดินตามไปติดๆ
“มีอะไรอย่างนั้นหรือเฟยเทียน” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ข้ากำลังจะทำให้ลี่เซียนฟื้นคืนสติขึ้นมา ท่านเจ้าอาวาสได้ฝากขวดน้ำทิพย์ซึ่งได้มาจากบ่อน้ำทิพย์บนยอดเขาดอกบัวในเทือกเขาหวงซาน”
คำกล่าวของบุตรชายคนสุดท้องทำให้จางฮูหยินถึงกับลุกจากเก้าอี้เดินตรงเข้ามาทันที
“ลี่เซียนจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ นะ ท่านทำให้น้องฟื้นขึ้นมาได้แน่นะ เฟยเทียน” จางฮูหยินเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
แทนการตอบรับหลวงจีนหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน
“แต่มีอย่างหนึ่งที่ท่านพ่อและท่านแม่ต้องรู้”
สองสามียืนนิ่งไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“มีสิ่งใดเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างนั้นเหรอ” หยวนฟู่เอ่ยถามบุตรชาย
“หาใช่สิ่งเลวร้ายท่านพ่อ ตรงกันข้ามมันเป็นผลดีกับลี่เซียนต่างหาก ข้าขอเวลาเพียงครู่เท่านั้น ขอท่านพ่อท่านแม่จงวางใจ น้องต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
สองสามีภรรยาต่างพนักหน้าพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปคอยยืนดูห่างๆ เพื่อมิให้เกะกะเมื่อบุตรชายกำลังเตรียมการช่วยเหลือน้องสาวของตน
ร่างใหญ่ของจางเฟยเทียนก้าวเข้ามาหาร่างงามที่กำลังหลับใหลก่อนจะก้มลงกระซิบอยู่ชิดริมหูของนาง
“สวรรค์กำหนดแล้ว เจ้าได้หวนคืนกลับมาเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต จุดจบของเจ้าในชาตินี้จะต้องไม่เป็นเช่นนั้น และหน้าที่ของเจ้าคือปลุกโอรสแห่งสวรรค์ให้ห้วนคืนจากความตายอีกครั้ง บัญชาแห่งสวรรค์กำหนดให้มีชีวิตอมตะเพียงหนึ่งเดียวเพื่อรักษาสุดยอดคัมภีร์ที่ประทานให้กับแผ่นดินมังกร” หลวงจีนหนุ่มหยุดกระซิบก่อนจะล้วงเข้าไปในชายเสื้อเพื่อดึงขวดน้ำทิพย์ที่บรรจุในขวดที่ทำด้วยหยกสีขาว พร้อมดึงผ้าที่อุดตรงปากขวดนั้นออกมาก่อนจะก้มลงกระซิบอีกครั้ง
“ดวงจิตในอดีตชาติของลี่เซียนในยามนี้จะต้องหลับใหลเพราะอำนาจจากบ่อน้ำทิพย์จากดินแดนสวรรค์ เบื้องบนลิขิตให้นางต้องเป็นเช่นนั้น ส่วนดวงจิตของเจ้าในอนาคตนั้นกล้าแข็งกว่าชาติอดีตมากมายยิ่งนัก จึงถูกเลือกให้ทำหน้าที่สำคัญนี้แทนโชคชะตาของเจ้าฟ้าดินเบื้องบนเท่านั้นเป็นผู้หยั่งรู้... ฟางเซียน"
สิ้นเสียงกระซิบของหลวงจีนหนุ่ม น้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ถูกหยดลงบนริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอออกมาเล็กน้อยเพื่อรองรับน้ำทิพย์ดังกล่าวซึ่งถูกหยดติดต่อกันเป็นจำนวนสามหยด พร้อมๆ กับร่างของเฟยเทียนค่อยๆ ถอยหลังออกมาก่อนจะหันกลับไปบอกกับทุกๆคน
“ออกไปข้างนอกกันเถอะท่านพ่อ... ท่านแม่... อี้หาน... ไปรอฟังข่าวอยู่ด้านนอก น้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ถูกหยดลงไปในกายแล้ว อีกไม่นานลี่เซียนจะฟื้นเพียงแต่จะใช้เวลาอาจจะเพียงไม่กี่ชั่วยามหรืออาจจะข้ามวันก็เป็นได้ ทางที่ดีเราควรปรึกษาเรื่องที่จะต้องทำตามคำแนะนำของท่านเจ้าอาวาสดีกว่า”
สมาชิกตระกูลจางทุกคนต่างหันกลับมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมเสียงของอี้หานเอ่ยขึ้น
“วิธีของท่านเจ้าอาวาสจะช่วยลี่เซียนให้พ้นภัยได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอฟางเทียน ตลอดระยะเวลาสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาพวกเราต่างปกป้องนางเพื่อให้รอดพ้นสายตาจากราชสำนักแต่กลับต้องส่งนางเข้าสู่ราชสำนักไปเสียนี่” อี้หานเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล
“สถานที่อันตรายคือสถานที่ปลอดภัยที่สุด ท่านเจ้าอาวาสมีญาณหยั่งรู้และได้รับบัญชาสวรรค์ให้นำน้ำทิพย์จากหวงซานมาช่วยลี่เซียน น้องจะฟื้นขึ้นมาพร้อมหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ล้วนส่งผลดีต่อลี่เซียนของพวกเราทั้งนั้นแล้วท่านพ่อท่านแม่จะเห็นลี่เซียนที่วันๆ เอาแต่วิ่งเล่น ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จะกลายเป็นหนอนหนังสือและหมกตัวอ่านแต่หนังสืออยู่ตลอดเวลา”
คำกล่าวของเฟยเทียนทำให้สมาชิกทั้งสามของบ้านตระกูลจาง ต่างนิ่งงันไปทันที
“อะไรนะ! ลี่เซียนอ่านหนังสือจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อน้องไม่ฝักใฝ่การเรียนรู้หรือชอบอ่านหนังสือแม้แต่น้อย ในแต่ละวันถ้าไม่วิ่งเล่น ก็นั่งปักผ้าเย็บปักถักร้อย” จางฮูหยินกล่าวด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อเสียเท่าใดนัก
“เช่นนั้นท่านแม่ก็คอยดูต่อไปว่าจะจริงดังคำกล่าวของข้าหรือไม่” หลวงจีนหนุ่มกล่าวพร้อมเดินนำหน้าออกจากห้องนอนของน้องสาวคนสุดท้อง ก่อนจะหันกลับมากำชับสองพี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“เจ้าสองคนคอยดูแลอยู่หน้าห้อง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด อีกไม่นานคุณหนูของเจ้าทั้งสองจะฟื้นขึ้นมา ในระหว่างนี้ตระกูลจางควรเตรียมตัวต้อนรับแขกคนสำคัญที่กำลังเดินทางมาจากวังหลวง”
คำกล่าวขอหลวงจีนเฟยเทียนทำให้ สมาชิกของบ้านตระกูลจางที่เหลือหยุดก้าวเดินทันที
“อะไรนะเฟยเทียน! คนทางวังหลวงกำลังจะมาที่บ้านตระกูลจางอย่างนั้นรึ” อี้หานเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจก่อนจะได้ยินเสียงจางฮูหยินเอ่ยแทรกขึ้น
“ไม่นะ! ข้าไม่ยอมให้ลี่เซียนไปกับคนทางวังหลวงเด็ดขาด จะไม่ยอมให้ลูกสาวของข้าเพียงคนเดียวต้องไปตายทั้งเป็นอยู่ในวัง ใครๆ ต่างก็ล่วงรู้ว่าถ้าถูกเรียกเข้าวังถวายตัวเป็นสนมของฮ่องเต้ หากไม่เป็นที่โปรดปรานก็ต้องอยู่อย่างเดียวดายไร้ผู้คนเหลียวแล จะกลับบ้านก็ไม่ได้ ถ้าสนมคนใดไม่มีโอรสหรือธิดาแห่งสวรรค์ให้กับองค์ฮ่องเต้ สุดท้ายก็ต้องออกบวชเป็นนางชีตลอดชีวิตเมื่อฮ่องเต้สวรรคต เมื่อล่วงรู้เช่นนี้แล้วไยจะต้องต้อนรับคนทางวังหลวงอีกเล่า”
จางฮูหยินกล่าวอย่างรวดเร็วแทบจะลืมหายใจ สุดท้ายก็ต้องหอบเหนื่อยไปในที่สุด
“ฮูหยินใจเย็นๆ ในจดหมายของท่านเจ้าอาวาสก็ได้บอกมาหมดแล้ว ว่าเราต้องทำตาม หาไม่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น มันก็ยังต้องวนเวียนอยู่เช่นนั้น มิอาจแก้ไขให้ลี่เซียนพ้นภัยได้” หยวนฟู่ปลอบภรรยาก่อนจะหันไปกล่าวกับหลวงจีนหนุ่มซึ่งเป็นบุตรชายของตน
“การมาครั้งนี้ของคนทางวังหลวงจะมาดีหรือมาร้ายเฟยเทียน และถ้าลี่เซียนฟื้นขึ้นมาจริงๆ คนผู้นั้นต้องรีบกลับไปรายงานราชสำนักฝ่ายในเป็นแน่”
คำกล่าวของหยวนฟู่ ทำให้หลวงจีนหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“อีกไม่นานทุกคนจะเข้าใจเมื่อลี่เซียนฟื้นขึ้นมา เพราะน้ำทิพย์จากหวงซานทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน สังเกตท้องฟ้าเบื้องบนให้ดีๆ ถ้าเห็นพระจันทร์เต็มดวงและดวงใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏเกิดขึ้นยามใด เมื่อนั้นพวกท่านทุกคนก็จะได้เห็นอะไรดีๆ ด้วยตาตัวเอง” จางเฟยเทียนกล่าวพร้อมก้าวเดินนำหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ของตัวบ้าน ท่ามกลางสายตาของพ่อแม่และพี่ชาย ซึ่งกำลังมองตามหลังด้วยความสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน
“ข้าอยากรู้จริงๆ เลยว่าสิ่งที่เฟยเทียนกล่าวมันคืออะไรกันแน่ เดี๋ยวจะบอกพวกบ่าวไพร่ให้พากันสังเกตพระจันทร์ อยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” อี้หานกล่าวพร้อมก้าวเดินตามหลังน้องชายไปติดๆ
[1] ลั่วหยาง หรือสำเนียงฮกเกี้ยนว่า ลกเอี๋ยง เป็นเมืองหนึ่งในประเทศจีน ปัจจุบันตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลเหอหนาน เคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์เช่น ราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง
[2] มีการผลิตมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังและยังคงดำเนินสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้นั้นเพราะกระดาษซวนจื่อมีเนื้อกระดาษสีขาวนวล มีความเหนียวมากเป็นพิเศษ สามารถซึมซับน้ำและหมึกได้เป็นอย่างดี สามารถทำให้หมึกและสีซึมลงบนเนื้อกระดาษและแผ่กระจายออกได้อย่างรวดเร็ว มีความเรียบลื่นและอ่อนนุ่ม สามารถม้วนเก็บได้โดยง่ายและมีน้ำหนักเบา เมื่อนำแผ่นกระดาษคลี่ออกมาจะไม่เกิดรอยยับย่นหรือฉีกขาด นอกจากนี้คุณสมบัติที่ดีที่สุดของกระดาษซวนจื่อก็คือสามารถถ่ายทอดความงามของหมึกและสีได้อย่างเต็มที่ หมึกยังคงเข้มและสียังสดใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งยังสามารถรักษางานจิตรกรรมและลายตัวอักษรให้คงทนถาวรมาอย่างยาวนานนับร้อย นับพันปีโดยที่กระดาษไม่เปื่อยยุ่ย ทุกวันนี้กระดาษซวนจื่อ ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดอยู่ที่เมืองซวนโจว มณฑลอานฮุย