ณ ห้องทรงงาน
“ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งหนิงเฉิงที่ตอนนี้รู้สึกตงิดใจว่าอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุตรสาวก็ได้แต่เก็บสีหน้า
“เราได้ฟังรายงานเรื่องเมื่อคืนแล้ว….” เจิ้งหลงฮ่องเต้เอ่ยขึ้นพลางนึกย้อนกลับไปยามที่พระองค์ได้รับรายงาน
ย้อนกลับไปช่วงกลางดึกหลังจากองค์หญิงฟางจิงกลับถึงวัง
“มันเป็นใคร!” น้ำเสียงทรงอำนาจกดต่ำอย่างระงับอารมณ์ หลังจากที่ได้รับรายงานจากหัวหน้าองครักษ์เซวียลู่เหลียงว่าน้องสาวของพระองค์โดนลอบสังหาร
“พวกมันบางส่วนชิงฆ่าตัวตายไปก่อนที่จะรีดข้อมูลได้ ส่วนพวกที่เหลือก็ปิดปากเงียบ ตอนนี้กระหม่อมยังสั่งให้มีการทรมาณต่อไปเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ” เซวียลู่เหลียงรีบตอบนายเหนือหัวของตน พลางลอบปาดเหงื่อในใจ
“หย่งเต๋อ (คุณธรรมความกล้าหาญ) ” ทันทีที่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายก็โผล่ออกมาจากเงามืดแล้วโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้า
“ไปจัดการพวกนั้นด้วยตัวเจ้าเอง ใช้ ‘ทุกวิธี’ รีดข้อมูลมาให้ได้” ดวงตาคมดุจเหยี่ยวทอประกายเหี้ยมออกมาจนคนในห้องขนลุก
“น้อมรับคำสั่ง” กล่าวจบอีกฝ่ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“แล้วตอนนี้องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง” ใบหน้าหล่อเหลากลับมานิ่งเรียบอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามถึงน้องสาวของตน
ปึก!
“องค์หญิงทรงปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ ต้องถือว่าโชคดีที่ยามนั้นคุณหนูตระกูลซ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และได้ให้ความช่วยเหลือจนกระหม่อมตามไปทัน มิเช่นนั้นคาดว่าเรื่องราวคงเลวร้ายกว่านี้ ดังนั้นได้โปรดลงโทษกระหม่อมที่บกพร่องในหน้าที่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เซวียลู่เหลียงคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงเพื่อรอรับโทษ
“คุณหนูตระกูลซ่งเช่นนั้นหรือ” ฝ่ามือหนาที่หยาบกร้านจากการจับอาวุธลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด
“พ่ะย่ะค่ะ เหมือนจะมีนามว่า ซ่งเยว่กวาง พ่ะย่ะค่ะ”
“นางจัดการมือสังหารเกือบสิบคนด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรอ” เจิ้งหลงฮ่องเต้รู้สึกสนใจไม่น้อย
“จากที่องค์หญิงทรงเล่ามา เห็นว่าคุณหนูซ่งจัดการนักฆ่า 5 คนด้วยตัวคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” เซวียลู่เหลียงนึกถึงองค์หญิงที่เล่าวีรกรรมในตอนนั้นให้ฟังอย่างตื่นเต้นก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย ส่วนอีกคนที่ได้ยินคำตอบกลับมีประกายบางอย่างพาดผ่านดวงตาคู่สวย ก่อนจะเอ่ยกับคนตรงหน้าที่อยู่ดีๆ ก็ยิ้มโง่งมขึ้นมา
“ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์ดีนะเซวียลู่เหลียง งั้นข้าจะสั่งลงโทษเจ้าเพื่อให้เจ้าอารมณ์ดียิ่งขึ้นก็แล้วกัน เจ้าและองครักษ์ที่เข้าเวรเมื่อคืนนี้ไปรับโทษที่ศูนย์ฝึกซะ แจ้งแก่ครูฝึกว่าข้าสั่งให้ฝึก ‘ระดับนรก’ เป็นเวลา 7 วัน” ริมฝีปากบางยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เมื่อคนตรงหน้าใบหน้าบิดเบี้ยวไม่น่าดูกับคำว่า ‘ระดับนรก’
“กระหม่อมเซวียลู่เหลียง น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มแหบพร่ารับคำอย่างคนหมดแรง ระดับนรกของค่ายฝึกพิเศษเพื่อขัดเกลาประสาทสัมผัสการเอาตัวรอดจากอาวุธลับ แค่ระดับธรรมดาก็มีทั้งธนู มีดสั้น เข็มพิษ และอีกมากมายที่ครูฝึกช่างสรรหามาเล่นกับพวกเขาจนร่างกายพวกเขาพรุนไปหมด
‘ข้าคงไม่ตายก่อนที่จะได้กลับมาทำหน้าที่ใช่หรือไม่ หรือข้าควรเขียนจดหมายล่ำลาให้คนในครอบครัวเลยดี….’
ห้องทรงงาน ณ ปัจจุบัน
ท่านแม่ทัพใหญ่หนักใจไม่น้อยเมื่อเป็นไปตามที่ตนคิด
“เราก็เพิ่งทราบว่าท่านมีบุตรีที่เก่งกาจยิ่งนัก ช่างต่างไปจากข่าวลือเสียจริง” ฮ่องเต้จิ้นเจิ้งหลงเอ่ยพลางยกชาขึ้นมาจิบ
“บุตรสาวของกระหม่อมเพิ่งหายจากการป่วยหนักจริงตามข่าวลือพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากหายป่วยครานี้สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมาก อีกทั้งด้วยความที่มีแต่พี่ชายทำให้กระโดกกระเดกไม่เป็นกุลสตรี และยังไปฝึกวรยุทธกับเหล่าองครักษ์จับดาบจับมีดจนฝ่ามือด้านไปหมด นิสัยรึก็รักสันโทษยิ่ง ไม่ชอบออกงานสังคมใดๆ เลยทำให้ข่าวลือแพร่กระจายไปเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งหนิงเฉิงสาธยายบุตรสาวจนเจิ้งหลงฮ่องเต้ถึงกับตากระตุก ปกติจะมีแต่ขุนนางที่มาพร่ำพรรณนาถึงความดีงามของบรรดาลูกหลาน แต่นี่กลับมาบรรยายข้อเสียของบุตรสาวจนไม่เหลือชิ้นดี
“ที่กล่าวมาเช่นนี้มิใช่ว่าต้องการซ่อนบุตรสาวของเจ้าจากเราหรอกนะแม่ทัพใหญ่” ดวงตาหงส์หรี่มองข้ารับใช้ของตน มีหรือที่พระองค์จะไม่ทราบถึงความนัยเหล่านั้น
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่พ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยพลางยกยิ้มไปไม่ถึงดวงตา อยากจะตอบใส่พระพักตร์ไปเสียเหลือเกินว่า ก็ใช่น่ะสิ! แต่ก็ต้องเก็บไว้ในใจด้วยเกรงว่าจะโดนข้อหาหมิ่นเบื้องสูง
“นั่นสินะ ในเมื่อแม่ทัพใหญ่คิดเช่นนั้น ก็คงมิว่าอันใดที่เราส่งคนไป ‘เชิญ’ คุณหนูซ่งมาใช่หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเต็มใบหน้าอย่างเป็นมิตร หากแต่มันช่างดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของซ่งหนิงเฉิงยิ่ง! ร่างกายแกร่งจากการเข้าสนามรบจัดการข้าศึกมานับไม่ถ้วนแผ่แรงกดดันออกมาไม่น้อย
“ในเมื่อฝ่าบาทส่งคนไป ‘เชิญ’ บุตรสาวของกระหม่อมโดยที่ ‘ไม่บอกกล่าว’ เช่นนี้ แม้กระหม่อมจะรู้สึกตกใจไปบ้าง แต่ก็ทำได้แค่ ‘จำยอม’ เพราะเป็นรับสั่งจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เสียงลอดไรฟันอย่างคนอดกลั้นจากอารมณ์บางอย่างนั่นยิ่งทำให้บุรุษซึ่งอยู่เหนือผู้คนนับแสนยิ่งยกยิ้มมากยิ่งขึ้นราวกับจะยั่วประสาทอีกฝ่าย….ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลดีมาก
เฉากงกงที่มองมังกรกับพยัคฆ์ฟาดฟันกันด้วยวาจาอยู่นานก็ถอนหายใจออกมา คู่นี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นเช่นนี้เสมอ ไม่รู้ว่าฝ่าบาททำไมถึงชื่นชอบการยั่วโมโหท่านแม่ทัพใหญ่นัก อาจจะด้วยขาดบิดาตั้งแต่เยาว์วัยและต้องรบรากับพวกขุนนางหน้าไหว้หลังหลอกตลอดเวลา ทำให้ทรงสนิทกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ตรงไปตรงมาผู้นี้มากกว่าผู้อื่น คิดพลางก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อชื้นที่ขมับเพราะตอนนี้ท่านแม่ทัพแผ่แรงกดดันออกมาอย่างรุนแรงยิ่งนัก
‘คุณหนูซ่ง ท่านรีบเดินทางมาให้ถึงไวๆ เถิด มิเช่นนั้นท่านแม่ทัพใหญ่คงกระอักเลือดเพราะโทสะเป็นแน่’ เฉากงกงได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วถอนหายในอีกครั้ง
เรือนคุณหนูซ่ง (ขณะที่ฮ่องเต้กับท่านแม่ทัพใหญ่กำลังฟาดฝีปากกัน)
ฟึบ เคร้ง!
“เจ้าเป็นใคร!!” ร่างบอบบางของฮุ่ยเหอพุ่งเข้าหาผู้บุกรุกทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง
“ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทขอรับคุณหนูซ่ง ข้ามาเพื่อยื่น ‘เทียบเชิญลับ’ จากฝ่าบาทให้กับคุณหนูขอรับ” หย่งเจี๋ย (วีรบุรุษผู้กล้า) หนึ่งในองครักษ์เงาของเจิ้งหลงฮ่องเต้เมินอีกฝ่าย แล้วหันไปพูดกับเยว่กวางแทน ก่อนจะใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อหยิบเทียบเชิญให้โดยที่มือข้างที่เหลือถือมีดสั้นรับดาบจากฮุ่ยเหอ
ป้าบ!
ด้านเยว่กวางที่ได้ยินว่าตนได้ ‘เทียบเชิญลับ’ จากองค์ฮ่องเต้ผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นก็เผลอเอามือตีหน้าผากดังป้าบจนทั้งสองคนที่ไม่ยอมปล่อยดาบในมือสะดุ้งโหยง
“คะ คุณหนู!” ฮุ่ยเหอตกใจจนละดาบจากผู้ส่งสารก่อนจะเข้าไปดูเจ้านายของตนที่ตอนนี้หน้าผากนวลขึ้นสีแดงระเรื่อจากแรงตีที่ไม่เบานัก ส่วนหย่งเจี๋ยก็เก็บมีดสั้นเช่นกัน
“เหตุใดถึงทำร้ายตนเองเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” คิ้วได้รูปของฮุ่ยเหอผูกเป็นปมยามทายาให้กับเจ้านายตัวน้อย
“แหะๆ พอดีข้าตกใจไปหน่อยน่ะเจ้าค่ะ เลยตีตนเองเพื่อเรียกสติ” เธอจะกล้าตอบไปได้ยังไงล่ะว่าเธอตกใจจนอยากจะสบถว่า ‘ซวยแล้ว’ น่ะ พลางสายตาก็เหลือบไปมองแขกหนึ่งเดียวในห้องที่ตอนนี้ยืนรออยู่ริมหน้าต่าง รูปร่างกำยำสมส่วนนั่นดูแล้วคงฝึกมาอย่างหนักแน่นอน ฝีมือคงสูงมากเพราะเธอเห็นว่าอีกฝ่ายรับคมดาบของพี่ฮุ่ยเหอได้สบายๆ
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอแต่งตัวสักครู่นะเจ้าคะ อืม ‘เทียบเชิญลับ’ ก็หมายความว่าไปอย่างลับๆ ไม่เปิดเผยฐานะสินะเจ้าคะ” เยว่กวางเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ข้าได้รับคำสั่งให้พาคุณหนูไปแบบไม่ให้ใครเห็นขอรับ” หย่งเจี๋ยตอบเสียงเรียบ
“ข้าคงยอมให้เจ้ามาแตะเนื้อต้องตัวคุณหนูของข้าไม่ได้! ดังนั้นข้าจะเป็นคนอุ้มคุณหนูไปเอง เจ้าแค่นำทางไปก็พอ” ฮุ่ยเหอแย้งด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบไม่แพ้กัน
“เอ่อ พี่ฮุ่ยเหอจะอุ้มข้าไหวหรือเจ้าคะ ข้า….” จะบอกว่าหนักนะก็อายเพราะมีบุรุษเพศอยู่ตรงนี้ด้วย ใบหน้าพริ้มเพราขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ารัก
“โธ่ คุณหนู ท่านตัวเล็กเพียงนี้ สูงแค่เลยอกข้าไปนิดเดียวเองนะเจ้าคะ ทำไมข้าจะอุ้มไม่ไหวกันล่ะ” ฮุ่ยเหอเอ่ยออกมาอย่างเอ็นดู แต่นั่นกลับตอกย้ำเรื่องความสูงของเยว่กวางยิ่งนัก ชีวิตก่อนเธอสูงถึง 175 เซนติเมตร เรียกได้ว่าสูงยาวเข่าดีเลยแหละ แต่ในร่างนี้นี่สิ…เธอมุ่ยหน้ากับส่วนสูงประมาณ 155-160 เซนติเมตรอย่างหงุดหงิด
“ฮึ่ม งั้นข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ท่านเองก็รบกวนรอที่ด้านนอกสักครู่นะเจ้าคะ” เจ้ากระต่ายน้อยพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วเดินไปเปลี่ยนชุดที่หลังฉากกั้น เมื่อเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วฮุ่ยเหอก็ทำตามที่บอกไว้คือใช้วิชาตัวเบาพร้อมอุ้มเยว่กวางไปด้วย ใช้เวลาราวๆ 2 เค่อ (ครึ่งชั่วโมง) ก็มาถึงพระราชวัง
.......................................................................................