“กะ แกเป็นใครกัน!!!” หัวหน้ามือสังหารมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ช่วงเวลาแค่อึดใจเดียวเด็กสาวรูปร่างสะโอดสะองตรงหน้าเขาก็จัดการลูกน้องของตนไปเกินครึ่ง!
“ข้าก็คิดว่าคำตอบนั้นไม่จำเป็นสำหรับคนที่กำลังจะตาย” เสียงหวานใสเอ่ยอย่างถือดี ใบหน้ารูปไข่นิ่งเรียบ ดวงตาที่แสนเย็นชาหรี่มองคนตรงหน้า เธอประเมินกำลังคู่ต่อสู้จากการเฝ้าดูมาระยะนึง ทำให้รู้ว่าใครเก่งหรืออ่อนแอที่สุด ดังนั้นเธอจึงต้องเก็บพวกลูกกระจ๊อกให้หมดเสียก่อน ถ้าเธอซัดอาวุธลับใส่คนที่เก่งๆ ล่ะก็พวกมันต้องรับมือทันแน่ ในคราแรกเยว่กวางก็สองจิตสองใจนักเพราะเรื่องนี้ถ้าเธอเข้าไปยุ่งโดยไม่คิดให้ดีอาจจะส่งผลถึงตระกูลซ่งได้ แต่เมื่อเห็นสหายคนแรกของตนถึงคราวจนมุมเธอก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีก
ทางด้านองค์หญิงฟางจิงที่เห็นว่าใครมาช่วยตนก็อ้าปากค้าง เด็กสาวที่เพิ่งเจอกันแถมยังดูบอบบางน่าทนุถนอมและขี้อ้อนเช่นนั้น เหตุใดถึงมีฝีมือขนาดนี้ ขณะที่กำลังตกใจก็เห็นเยว่กวางค่อยๆ ขยับกายมายืนด้านหน้าตน
“ไว้เราค่อยคุยกันหลังจากนี้เถิดนะเจ้าคะ ตอนนี้ต้องจัดการพวกมันให้หมดเสียก่อน พี่สาวฟางถือสิ่งนี้ไว้ดีกว่าเจ้าค่ะ” เยว่กวางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเล็กน้อย พร้อมส่งมีดสั้นให้กับองค์หญิงฟางจิง เพราะดาบคงหนักเกินไปจนยกไม่ไหวแน่ อย่างน้อยมีดสั้นยังพอช่วยป้องกันตนเองได้บ้าง
“อื้ม” องค์หญิงพยักหน้าและรับมีดสั้นมา
“ฮ่าๆ คิดว่าแค่ผู้หญิงบอบบางสองคนจะทำอะไรพวกข้าได้งั้นหรอ” หนึ่งในมือสังที่เหลืออยู่พูดออกมาพลางหัวเราะลั่น
“จะเอ่ยสิ่งใดเกรงใจศพเพื่อนของเจ้าหน่อยเป็นไร” เสียงหวานเรียบนิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็กวาดตามองสถานการณ์ตรงหน้าที่ดูเหมือนจะตึงมืออยู่ไม่น้อย เพราะสามคนที่เหลืออยู่นี่ถือว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน
“ฮึ่ม! นังเด็กปากดี!”
ฟึบ เคร้ง
สิ้นเสียงสบถด่าร่างของมือสังหารก็พุ่งเข้าหาเยว่กวางทันที ปลายดาบที่ฟาดลงมาด้วยความเร็วนั้นเธอยังพอรับได้ทัน ก่อนที่จะซัดฝ่ามือเข้าไปที่หน้าอกอีกฝ่ายเต็มแรง
ปึก!!
“อั่กกก”
ฟึบ ฟิ้ว ปัก เคร้ง เคร้ง
ทันทีที่เห็นร่างของลูกน้องปลิวออกไป หัวหน้ามือสังหารก็พุ่งเข้าใส่เยว่กวาง ขากำยำจากการฝึกหนักตวัดใส่ร่างบอบบางตรงหน้าอย่างไม่ออมแรง ดีที่เธอไหวตัวทันทำให้เธองอขาพับครึ่งแล้วเอาช่วงเข่ารับลูกเตะของอีกฝ่าย จากนั้นดาบทั้งสองเล่มก็ฟาดฟันใส่กันไม่หยุด ลูกน้องอีกคนนึงที่เห็นว่าหัวหน้ารับมือเด็กสาวอยู่ก็มาดหมายจะเข้าสังหารองค์หญิงเพื่อจบภารกิจเสียที
“อย่าเข้ามานะ!!” องค์หญิงฟางจิงตะโกนก้อง พร้อมเอามีดสั้นชี้หน้ามือสังหาร
“รีบๆ ตายเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมไม่มีเวลามาเล่นกับพระองค์แล้ว” มือสังหารยิ้มเหี้ยมก่อนจะพุ่งเข้าใส่เป้าหมาย
ฉัวะ ฟึบ เคร้ง
“อึ่ก! แฮ่ก แฮ่ก”
“กวางเอ๋อร์!!” องค์หญิงฟางจิงตกใจมากที่เยว่กวางยอมโดนคู่ต่อสู้ที่ติดพันอยู่ฟันแขนซ้ายจนเกิดบาดแผล แล้วอาศัยช่องว่างนั้นพุ่งตัวมารับดาบที่มุ่งมาหาองค์หญิง
“อย่าเพิ่งร้องไห้สิเจ้าคะพี่สาวฟาง” เยว่กวางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำขององค์หญิงฟางจิง
“ข้าขอโทษนะกวางเอ๋อร์ เพราะข้าไร้ความสามารถ แม้แต่ปกป้องตนเองก็ทำไม่ได้” พระองค์รู้สึกเป็นตัวถ่วงมาก พระองค์ไม่น่าหนีออกมาเที่ยวเล่นเลย
“ฮ่าๆ ร้องไห้กันพอรึยัง จะได้จัดการให้จบเรื่องเสียที” หัวหน้ามือสังหารยิ้มเยาะ มองสาวน้อยทั้งสองที่สวยงามไม่น้อยก็รู้สึกเสียดายนัก แต่จะปล่อยให้ยืดเยื้อคงไม่ได้แล้ว
เยว่กวางกำดาบแน่นจนข้อมือขาว อีกฝ่ายฝีมือสูงพอๆ กับพี่ฮุ่ยเหอ ถ้าตัวต่อตัวเธอยังพอต้านอีกฝ่ายได้หลายกระบวนท่า แต่เธอคงไม่สามารถปกป้องพี่สาวฟางไปด้วยแล้วต่อสู้ไปด้วยได้
ฟึบ ฟึบ ฟึบ ฟึบ ฟึบ ฟึบ
“คาราวะองค์หญิง!!!”
“ขออภัยที่กระหม่อมมาช้าพ่ะย่ะค่ะ จัดการพวกมันให้หมด จับเป็นถ้าทำได้ จับตายถ้าจำเป็น พวกที่อยู่บนพื้นเก็บกลับคุกใต้ดินให้หมด!!” หัวหน้าองครักษ์ขององค์หญิงฟางจิงปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเหล่าองครักษ์อีกราวๆ 10 นาย หลังจากที่แจ้งองค์หญิงเรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปสั่งการลูกน้องทันที มือสังหารสองคนที่เหลือต่างถูกจับกุมภายในเวลาไม่นาน
ฟึบ ฟึบ
“องค์หญิง!!” หัวหน้าองครักษ์เซวียลู่เหลียงมองร่างบอบบางขององค์หญิงทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นอย่างตื่นตระหนก ก่อนสายตาจะพบเข้ากับดรุณีน้อยนางนึงที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บอยู่จึงเรียกหมอในหน่วยมาทำแผลให้ ซึ่งยังดีที่แผลไม่ลึกเท่าไรนัก
“พี่สาว…เอ่อ ไม่ใช่สิ องค์หญิง หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์คือเชื้อพระวงศ์ทำให้กระทำการล่วงเกินไป ต้องขออภัยด้วยนะเพคะ” ใบหน้าหวานซีดขาวราวกับกระดาษจากพิษบาดแผลเอ่ยออกมาเพราะไม่อยากต้องโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง
“กวางเอ๋อร์ ใยเจ้าพูดเช่นนั้นเล่า เรียกข้าว่าพี่สาวฟางเหมือนเดิมเถิดนะ และเป็นข้ามากกว่าที่ต้องขอบใจเจ้าที่มาช่วยชีวิตข้าจนตนเองต้องบาดเจ็บ” องค์หญิงฟางจิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ใบหน้าจะมีแววเหนื่อยล้าก็ตาม แต่ประโยคนั้นขององค์หญิงกลับทำให้หัวหน้าองครักษ์ตกใจยิ่ง เด็กสาวบอบบางตัวเท่านี้กลับสู้รบปรบมือกับมือสังหารหลายคนได้เชียวหรือ
“จะดีหรือเพคะ หม่อมฉันกลัวจะโดนโทษหมิ่นเบื้องสูง” เจ้ากระต่ายน้อยยิ้มแหยออกมา
“คิกๆ ดีสิ ถ้าใครจะลงโทษเจ้า เราจะลงโทษมันผู้นั้นก่อน!” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มให้กันอย่างขบขัน จนกระทั่งมีเสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้นมา
“เอ่อ ข้าขอสอบถามได้รึไม่ขอรับว่าคุณหนูท่านนี้มาจากตระกูลใด” หัวหน้าองครักษ์เซวียลู่เหลียงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“นั่นสินะ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นบุตรีบ้านไหน ไยถึงเก่งกาจเช่นนี้” องค์หญิงถามอย่างกระตือรือร้นจนไม่ทันได้สังเกตแววตาสั่นไหวของคนตรงหน้า
‘เอาไงดี ถ้าพูดปดไปแล้วโดนสืบประวัติภายหลังคงโดนข้อหาหลอกลวงเบื้องสูงอีก….คงทำได้แค่ตอบตามตรงสินะ หวังว่าจะไม่มีปัญหาตามมาถึงตระกูลซ่งหรอกนะ เฮ้อ’ เยว่กวางคิดพลางถอนใจ ไม่น่าหนีมาเที่ยวคนเดียวเลย นี่แหละนะอยู่บ้านสงบๆ ก็เบื่อ ออกจากบ้านทีได้เรื่องเลยเป็นไงล่ะ
“ข้ามีนามว่า ซ่งเยว่กวาง บุตรีคนเดียวของตระกูลซ่งเจ้าค่ะ”
เสียงหวานใสเอ่ยตอบด้วยความสงบ ขัดกับใบหน้าตะลึงงันของทั้งสองคนตรงหน้ามาก
“ห๊ะ! บุตรคนสุดท้องของท่านแม่ทัพใหญ่ซ่งหนิงเฉิงเช่นนั้นหรือ!!” องค์หญิงฟางจิงพูดอย่างตกใจ
“อะ เอ่อ เจ้าค่ะ” เจ้ากระต่ายน้อยสะดุ้งเบาๆ เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็ถลาเข้ามาหาตน
“มิใช่ว่า มีข่าวลือหนาหูว่าคุณหนูซ่งป่วยหนัก ต้องอยู่แต่ภายในเรือนหรือขอรับ” เซวียลู่เหลียงถามอย่างใคร่รู้ เพราะคุณหนูท่านนี้ต่างจากข่าวลือมาก…
“มีหลายเหตุผลน่ะเจ้าค่ะ โดยเฉพาะ…ฐานะของข้า” พูดเพียงเท่านี้ก็เหมือนตอบคำถามทั้งหมดแล้ว ทั้งสองต่างพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเข้าใจ ฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่มีกองกำลังทหารมากมายในมือ แถมเด็กสาวก็หน้าตาสะสวย ถ้าเป็นที่รู้จักเหล่าแม่สื่อคนเดินเข้าออกจวนแม่ทัพจนธรณีประตูสึกเป็นแน่
“เอาล่ะ ในเมื่อจบเรื่องแล้วเรารีบกลับกันดีกว่า ข้าจะให้เซวียลู่เหลียงไปส่งเจ้านะกวางเอ๋อร์ เพราะนี่มันดึกมากแล้ว เจ้ากลับคนเดียวคงไม่เหมาะอย่างยิ่ง ไม่! ห้ามปฏิเสธ….ลู่เหลียง เจ้าไปส่งคุณหนูซ่งให้ถึงหน้าจวนด้วย ข้าจะกลับพร้อมองครักษ์ที่เหลือเอง เรื่องในวันนี้ค่อยไปรายงานเสด็จพี่ในวันรุ่งขึ้นเถิด” องค์หญิงเอ่ยสั่งรวดเดียวจบ ทั้งยังดุเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กเตรียมจะแย้ง
“เจ้าค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ” เยว่กวางและเซวียลู่เหลียงรับคำก่อนที่ทั้งสองจะแยกจากองค์หญิงมา
.......................................................................................