“เหตุใดน้องถามเช่นนั้นเล่าเยว่เยว่” ซ่งเยว่เล่อถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงร้อนรน เป็นผลให้เจ้าตัวเล็กก้มหน้าลงเหมือนสำนึกผิด หรือเธอจะก้าวก่ายเรื่องในบ้านเกินไปกันนะ….
“พ่อย่อมต้องรู้อยู่แล้ว” ซ่งหนิงเฉิงถอนใจเล็กน้อยก่อนตอบบุตรสาว
“แต่ที่ท่านพ่อปล่อยมาจนถึงตอนนี้ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลนะเยว่เยว่” พี่ชายคนโตของบ้านเอ่ยบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้น้องน้อยเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง ด้วยฐานะรองแม่ทัพของตน จึงรู้เรื่องความอิจฉาริษยาในหมู่ขุนนางด้วยกันดี
“ลูก…คือว่า…จะเป็นการก้าวก่ายเรื่องในจวนไปหรือไม่เจ้าคะ ถ้าลูกจะขอทราบเหตุผลด้วย” เยว่กวางอ้อมแอ้มถามบิดาอย่างไม่เต็มเสียงนัก หลินซูฉีสบเข้ากับสายตาขออนุญาตของซ่งหนิงเฉิง ก่อนเธอจะพยักหน้าให้ผู้เป็นสามี ความจริงแล้วเธอไม่ต้องการให้บุตรสาวมารับรู้เรื่องนองเลือดที่อยู่รอบตัวนัก จึงขอสามีให้กันบุตรสาวจากเรื่องพวกนี้ แต่แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายเธอก็ต้องเสียลูกคนก่อนไปกับเรื่องพวกนี้อยู่ดี อีกอย่างหลังจากที่ตนฟังเรื่องของบุตรสาวคนใหม่ของเธอแล้ว เธอก็รู้ว่าบุตรสาวคนนี้ผ่านเรื่องนองเลือดมามากกว่าบุตรชายทั้งสามของเธอเสียอีก ดังนั้นเธอจึงคิดว่าให้ลูกเข้ามารู้เรื่องพวกนี้คงเป็นการดีเสียกว่า เพื่อที่จะรับมือเรื่องร้ายๆ ได้ คิดได้ดังนั้นก็ยกมือเรียวขาวลูบเข้าที่เส้นผมอ่อนนุ่มของบุตรสาวเบาๆ
“ทำไมจะไม่ได้เล่า ตอนนี้ลูกก็คือลูกของพ่อนะ” ซ่งหนิงเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะเริ่มอธิบายเหตุผลทั้งหมด
“เจ้าคงจะพอรู้มาบ้างว่า พ่อขอราชโองการไม่รับฮูหยินเพิ่ม หนึ่งคือเพราะพ่อรักเพียงมารดาของเจ้า สองคือเพื่อป้องกันความหวาดระแวงที่จะเกิดขึ้นจากราชวงศ์ แต่ถึงพ่อจะประกาศจุดยืนชัดเจนแล้ว แต่หทัยมังกรก็ใช่ว่าจะปักใจเชื่อโดยง่าย อีกทั้งกองกำลังในมือของพ่อและพี่ของเจ้าก็ไม่น้อย พ่อจึงปล่อยให้สายสืบจากด้านนอกเข้ามาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเพื่อป้องกันการใส่ความว่าจวนแม่ทัพซ่องสุมกำลังหรือมีลับลมคมในด้วย แต่ถึงจะปล่อยให้มันเข้ามา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกมันรู้ทุกอย่างในจวนของเรา พ่อได้วางกำลังคนไว้ในจุดต่างๆ ที่สำคัญไว้แล้ว”
“แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยเจ้าค่ะ เพราะจากความทรงจำที่ลูกรู้ คนร้ายที่วางยาก็คือสายสืบจากด้านนอกเจ้าค่ะท่านพ่อ” เยว่กวางเอ่ยบอกบิดาทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยจบ ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
“น้องว่าเช่นไรนะ! พิษนั่นมาจากสายสืบที่อยู่ในบ้านเราเช่นนั้นหรือ!!” ซ่งเยว่เล่อรีบถามเสียงดัง
“แสดงว่าที่เราคิดว่าเยว่เยว่ได้รับพิษมาจากงานเลี้ยงคงจะผิดไปสินะ” ซ่งเยว่ส่างคิ้วผูกเป็นปมทันทีเช่นกัน
“ข้าว่าเรื่องนี้คงปล่อยไปไม่ได้แล้วนะขอรับท่านพ่อ” ซ่งเยว่จวนแผ่รังสีกดดันออกมาเมื่อคิดว่ามีคนมากระตุกหนวดเสือเสียแล้ว
ปัง! เสียงตบโต๊ะดังลั่นทำเอาทุกคนในห้องตกใจจนสะดุ้ง
“มันจะหยามกันเกินไปแล้ว เห็นข้ายอมมาตลอดถึงกำเริบเสิบสานกันเช่นนี้สินะ ฮึ่ม” ท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยพร้อมกับบรรยากาศในห้องที่ลดลงจนเย็นยะเยือก พวกมันคิดว่าเขาเป็นพยัคฆ์ไร้เขี้ยวเล็บหรือไร ถึงอุกอาจเช่นนี้!!
“ท่านพี่” หลินซูฉีรีบยื่นมือไปสัมผัสแขนกำยำของผู้เป็นสามีเพื่อเรียกสติไม่ให้คนตัวโตโมโหไปมากกว่านี้ ถึงแม้เธอเองก็โกรธแค้นไม่แพ้กัน แต่เรื่องนี้จัดการด้วยอารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด ซ่งหนิงเฉิงที่ได้เสียงหวานของภรรยาเรียกสติกลับมาก็เก็บจิตสังหารที่ตนเผลอปล่อยออกมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าเหล่าคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเหล่าองครักษ์เงาที่อยู่โดยรอบนั่นเอง จิตสังหารเมื่อครู่ทำเอาทุกคนขนลุกซู่ ร่างกายตื่นตัวอย่างเต็มที่ เหงื่อเย็นไหลลงข้างขมับและแผ่นหลังอย่างห้ามไม่อยู่ มือกระชับอาวุธแน่นตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งท่านแม่ทัพใหญ่สงบลงนั่นเองทุกคนจึงผ่อนลมหายใจที่เผลอกลั้นไว้ออกมา
‘ฟู่ว ภายในห้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย’ เหล่าองครักษ์เงาต่างคิดโดยพร้อมเพียงกัน แต่ในเมื่อไม่มีสัญญาณเรียกพวกตนเข้าไป จึงทำได้แค่สงสัยเท่านั้น
“ข้ามีบางสิ่งอยากจะพูดเจ้าค่ะ อยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกท่านพี่ช่วยฟังความคิดเห็นของข้าหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยออกมาจากริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ ทำให้ทุกคนพยักหน้ารับโดยพร้อมเพียงกัน
“หากเป็นชีวิตก่อนของข้า การยอมในครั้งแรกไม่ถือว่าเป็นกระไร หากแต่มีครั้งที่สอง ที่สาม นั่นเท่ากับอีกฝ่ายจะคิดว่าเราคงยอมตลอดไป และมันจะยิ่งทำให้พวกมันได้ใจขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าจะทำสิ่งใดกับเราก็ได้นะเจ้าคะ ข้าเห็นควรว่าสิ่งแรกที่เราควรจะทำตอนนี้คือ ‘เก็บกวาดหนูในจวน’ ให้หมดเจ้าค่ะ ท่านพ่ออาจจะกังวลเรื่องขององค์ฮ่องเต้ แต่สำหรับความคิดเห็นของลูก บุคคลที่เป็นผู้นำ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือความรอบคอบเจ้าค่ะ ลูกเชื่อว่าต่อให้ไม่มีสายสืบในจวนของเรา พระองค์ก็ทรงระแวงทุกสิ่งอยู่แล้ว บัลลังก์มังกรนั้นช่างร้อนยิ่ง ไม่มีทางที่ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นจะสามารถสงบจิตใจได้หรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นสิ่งที่ท่านพ่อทำไม่ช่วยทำให้เราได้รับความไว้วางใจ สิ่งที่จะทำให้เรารอดพ้นจากความระแวงของพระองค์บ้าง ก็มีเพียงการไม่ฝักใฝ่ฐานอำนาจฝั่งใดเลย เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ” เยว่กวางพักจิบชาเล็กน้อยพร้อมมองใบหน้าครุ่นคิดของทุกคนก่อนจะเอ่ยต่อ
“นอกเหนือจากการทำความสะอาดจวนแล้ว ลูกต้องการขอท่านพ่อสร้าง ‘หอประมูล’ ขึ้นเจ้าค่ะ เพื่อสร้างเครือข่ายหน่วยข่าวกรองของเราเอง อีกทั้งยังเอาไว้ใช้สืบเสาะหาคนมีฝีมือมาคอยช่วยงานเราได้อีกด้วย ดั่งคำพูดที่กล่าวไว้ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ไม่เพียงแค่เอาไว้สืบหาหนอนบ่อนไส้ในจวนแม่ทัพใหญ่เท่านั้น แต่ยังสามารถสืบข่าวการศึกของแคว้นข้างเคียงได้ด้วยนะเจ้าคะ ลูกรู้ว่าท่านพ่อซื่อตรงกับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มาก แต่ลูกอยากบอกว่า สิ่งใดมีสีขาวสะอาดจนเกินไป ก็ยิ่งถูกสาดโคลนให้เปรอะเปื้อนได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ” เยว่กวางรีบอธิบายเมื่อเห็นบิดาคิดหนัก ตระกูลซ่งรับใช้แผ่นดินมารุ่นต่อรุ่น ไม่เคยมีนอกมีใน ทุกข่าวสารล้วนมาจากหน่วยข่าวในกองทัพทั้งสิ้น เรื่องในจวนก็อาศัยแค่คนของตน ไม่เคยคิดหาอำนาจอื่นเพิ่ม ซึ่งนั้นมันใช้ไม่ได้กับเกมการเมืองสกปรกในวังหรอก ตัวเธอรู้เรื่องพวกนี้ดี ในองค์กรเองก็ยังมีการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำอยู่เสมอ
เยว่กวางเงียบลงเมื่อตนเอ่ยสิ่งที่ต้องการจบพลางมองทุกคนในห้องที่ดูเหมือนจะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งผ่านไปครู่นึง
“แม่เห็นด้วยกับเยว่เยว่” เสียงหวานของหลินซูฉีเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“จะดีหรือน้องหญิง พี่เห็นด้วยเรื่องกำจัดพวกสายสืบ แต่เรื่องหอประมูลพี่ว่ามันอาจจะเสี่ยงเกินไปนะ” ซ่งหนิงเฉิงกล่าวขึ้นด้วยความลำบากใจไม่น้อย เนื่องจากตระกูลซ่งดำรงตนเช่นนี้มาโดยตลอด
“แต่ข้าก็เห็นด้วยกับน้องเล็กนะขอรับท่านพ่อ ดูจากการศึกครั้งที่ผ่านมา เรามักจะพึ่งข่าวจากหน่วยข่าวในกองทัพเพียงอย่างเดียว แต่รอบนี้เรากลับโดนข่าวลวงอยู่หลายรอบ” ซ่งเยว่จวนเอ่ยบอกบิดา และจริงอย่างที่เขาว่า การศึกครั้งสุดท้ายนั้น เหมือนพวกเขาจะโดนข่าวลวงจนเกือบทำให้เสียเปรียบแล้ว ดีที่พวกตนแก้สภานการณ์กลับมาได้
“ฮึ่ม คงเป็นพวกขุนนางเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นแหละที่อยู่เบื้องหลัง!” ซ่งเยว่เล่ออดจะอารมณ์เสียขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดถึงพวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้น
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านพ่อนะขอรับ แต่เมื่อฟังสิ่งที่เยว่เยว่อธิบายมา ก็คิดว่าสมเหตุสมผลมากเช่นกัน เราเป็นเป้านิ่งมานานเกินไปแล้ว” บุตรชายคนรองของบ้านเอ่ยบอกความคิดของตนบ้าง ครอบครัวของตนนั้นดีมาก บิดามารดาล้วนฟังความคิดเห็นของกันและกัน ทั้งยังให้ลูกๆ แสดงความคิดเห็นของตนอยู่เสมอ
“สิ่งสำคัญตอนนี้บ้านของเรามีเพียงข้าและน้องรองที่มีคู่หมั้นนะขอรับ ส่วนของน้องสามไม่น่าจะมีปัญหา แต่น้องเล็ก…ถ้าเกิดมีพวกที่คิดอยากจะใช้เยว่เยว่เพื่ออำนาจของพวกเรา แบบนั้นจะยิ่งอันตรายนะขอรับท่านพ่อ” ในฐานะบุตรชายคนโตของบ้าน เขาเองก็มีหน้าที่แบกรับตระกูลเช่นกัน ท่านพ่ออาจจะซื่อตรงกับราชวงศ์ แต่ไม่ใช่กับเขา เขาก็มีสายข่าวของตนเอง ไม่อย่างนั้นมีหรือจะรอดจากแผนการของพวกชั่วนั่นได้
บรรดาบุตรชายบุตรสาวเอ่ยโน้มน้าวบิดาอีกคนละนิด แต่เหมือนซ่งหนิงเฉิงจะยังลังเลอยู่ จนกระทั่ง
“ท่านพี่….เรายอมมามากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ข้าจะไม่ยอมเสียท่านกับลูกไปเพราะคนพวกนั้นอีกแล้ว” หลินซูฉีเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงสั่นเครือนั่นเล่นเอาท่านแม่ทัพใหญ่ถึงกับคิดตกในทันที
“ได้! ข้าจะไม่ยอมเป็นพยัคฆ์หมอบอีกต่อไป! เอาเป็นว่าเราจะเริ่มจัดการทุกอย่างเงียบๆ ทีละนิดเพื่อไม่ให้พวกมันรู้ตัวก็แล้วกัน” ซ่งหนิงเฉิงรีบเอ่ยตอบด้วยความร้อนรนเพื่อหยุดน้ำตาของคนรัก หารู้ไม่ว่าตนเสียรู้เอาซะแล้ว ริมฝีปากบางสีแดงดุจผลอิงเถา (เชอรรี่) ของหลินซูฉีแอบยิ้มเพียงชั่วครู่พร้อมกับซบอกสามี
เยว่กวางทำหน้าเลิ่กลั่ก อันใดบิดาจะรับปากง่ายเพียงแค่มารดาหลั่งน้ำตากัน แล้วสิ่งที่ตนอธิบายมาตั้งนานนั่นล่ะ….
ส่วนบุตรชายทั้งสามต่างสบตากันอย่างสื่อความหมาย
‘รู้งี้ให้ท่านแม่เล่นงิ้วแต่แรกก็จบแล้ว พวกเราจะพูดโน้มน้าวทำไมตั้งนาน….’
.......................................................................................