เมื่อเห็นร่างสูงของบุรุษหนุ่มทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันมา หงซือซือก็หน้าเปลี่ยนสี เรื่องเมื่อคืนนางรู้ว่าคุณชายสามและนางเมามากจึงได้แต่ก่นด่าตนเองในใจ ‘ซือซือเอ๋ย! เจ้านี่มันช่างงี่เง่าสิ้นดี ดันปล่อยตัวเองให้เละเทะจนขึ้นเตียงกับมังกรขาวเจ้าเล่ห์ นี่หากเขานึกออก ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?’
“น้องหง เจ้าอยู่นี่เอง! พวกเจ้ามิได้ไปดูการประลองดอกหรือ?”
ท่านน้าของนางว่องไวกว่าที่คิด ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุรุษสองคนเข้ามาใกล้นางก็เร้นกายจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้หงซือซือกับหานซู่ลี่อยู่รับหน้า
“พวกเราดูแล้ว แต่เพราะเกรงว่าจะมิได้ชมทิวทัศน์ให้เต็มที่ก็เลยชวนกันออกมาเดินเล่นแถวนี้เจ้าค่ะ”
“จริงสินะ พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางกลับแต่เช้า” อ๋องเก้าหันไปมองพี่ชาย “แล้วท่านเล่าพี่สาม คิดจะอยู่สักกี่วัน?”
“ข้าเองก็คิดจะกลับพรุ่งนี้เช่นกันอาจจะเป็นยามบ่ายเพราะข้านัดกับคนผู้หนึ่งเอาไว้” สีหน้าของคุณชายสามดูเป็นงานเป็นการเมื่อเอ่ยถึงนัดหมาย หงซือซือแอบสงสัยว่าคนที่เขานัดหมายเอาไว้น่าจะเป็นคนสำคัญผู้หนึ่งในยุทธภพ เห็นทีนางคงต้องทิ้งหัวหน้าสวีเอาไว้ที่นี่เพื่อสืบดูว่าเขานัดหมายกับผู้ใด?
“ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว พวกเราไปหาของอร่อยกินกันดีกว่า หม่อมฉันหิวแล้ว เพคะท่านพี่” หานซู่ลี่รีบหันไปเกาะแขนพระสวามี นางเกรงสายตาคมกริบของฮ่องเต้และอ๋องเก้าจะมองเห็นความผิดปกติในบริเวณที่นางและสหายรักยืนอยู่ กิ่งไม้ที่โดนกระบี่ฟันหลุดร่วงหลายกิ่ง ซ้ำใบไม้สีเขียวที่โดนคมอาวุธที่ท่านอาเจียงสาธิตท่าพิฆาตให้พวกนางดูนั่นยังร่วงกราวอยู่เต็มพื้น
จอมยุทธ์หงก้าวยาวเท้าตามสองสามีภรรยาที่เดินนำกลับสู่ภายในโรงเตี๊ยมทว่าร่างสูงสง่าด้านหลังกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้เดินเดียวดาย
“น้องหง เจ้ายังจำสัญญาเมื่อคืนของเราได้หรือไม่?”
“อะ หา!” นางลืมสัญญาบ้าๆ นั่นไปเสียสนิท หญิงสาวยกส้นมือขึ้นกระแทกส่วนขมับตนเอง ‘แย่ล่ะ! เมื่อคืนข้าดันไปแลกหยกกับป้ายประจำตัวกับเขาแล้ว’
“ระหว่างเราสองคนแลกของเป็นสัญญาใจกันแล้ว เจ้าคงไม่ลืมดอกกระมัง?” คุณชายสามเอียงคอเลิกคิ้วหันมาถามหนุ่มน้อย เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ “สำหรับข้า เจ้าถือเป็นน้องชายคนหนึ่งแล้ว หยกชิ้นนั้นเจ้าจงเก็บไว้ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเห็นเด็ดขาด”
‘แน่ล่ะสิ! นั่นมันหยกประจำตัวฮ่องเต้นี่นา ข้าจะกล้าเอาให้ผู้อื่นดูสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร? รังแต่จะนำภัยมาถึงตัวก็เท่านั้น’
เมื่อเห็นจอมยุทธ์น้อยยังเคาะศีรษะแถมยังก้มหน้าเดินพร้อมบ่นพึมพำกับตนเอง คุณชายสามกลับคิดไปว่าหนุ่มน้อยคงยังจะมึนสุราไม่หายจึงล้วงเอาขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกจากสาบเสื้อเคาะเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด
“บางทีเจ้ากินน้ำแกงสร่างเมาแล้วอาจจะยังไม่ดีขึ้น กินยาปรับเลือดลมของข้าสักเม็ดจะได้หายมึนหัว” ยาบำรุงที่คว้าจากตู้ใกล้หัวเตียงที่ตำหนักบรรทมนับได้ว่าเป็นของดีที่ขาดไม่ได้สำหรับหมิงเฟยหลง ดีนักที่ติดมือมาคราวนี้
หงซือซือไม่กล้าปฏิเสธเพราะเกรงเขาจะยิ่งรบเร้าหนักขึ้น นางรับมาใส่ปากพร้อมกับกล่าวขอบคุณ แต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เดินเคียงข้าง เมื่อไปถึงโต๊ะอาหารคุณชายสามรีบรินน้ำชาแล้วเลื่อนให้นาง
“น้องหง เจ้ารีบดื่มน้ำก่อน ประเดี๋ยวยาลูกกลอนจะติดคอเจ้า ข้าลืมบอกไปว่าถือไว้ก่อนแล้วค่อยมากินตอนที่มีน้ำดื่ม”
พระชายาหานซู่ลี่มองกริยาฮ่องเต้หมิงที่เอาใจใส่สหายรักของตนอย่าง แปลกใจ “ดวลสุราเพียงคืนเดียว จอมยุทธ์หงท่านกลายเป็นน้องชายคนโปรดของ พี่สามไปเสียแล้ว”
“น้องหงนับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่น่าคบหาจริงๆ น้องสะใภ้ข้าที่ใจที่ได้เจอเขา” หมิงเฟยหลงไม่พูดเปล่ายื่นมือมาโอบไหล่หงซือซืออย่างสนิทสนม ร่างบางนั้นแข็งทื่อขึ้นมาครู่หนึ่ง มองอ๋องเก้ากับหานซู่ลี่เหมือนจะให้ช่วยพูดให้ฮ่องเต้เลิกสนใจตนเสียที อ๋องเก้าเข้าใจว่าเป็นเพราะนางเป็นสตรีจึงไม่อยากให้พี่ชายของเขาโอบเช่นนั้น ส่วนหานซู่ลี่รู้ว่าหงซือซือไม่ค่อยชอบฮ่องเต้นักพยายามจะบ่ายเบี่ยงไม่ให้พระองค์มาตีสนิท
“เออ...พี่สาม จอมยุทธ์หงปกติเป็นคนรักสันโดษท่านอย่าไปแตะต้องตัวเขานักเลย ประเดี๋ยวจะอึดอัดไม่พอใจขึ้นมาจะพาลไม่คุยกับท่านอีกนะเจ้าคะ” พระชายาหานซู่ลี่มิได้เกรงกลัวฮ่องเต้เท่าใดนัก นางเคยปะทะคารมและหลอกลวงคนผู้นี้ตั้งแต่คราแรกที่พบปะกัน หากคราวนั้นมิได้กินยาขยายร่างจนกลายเป็นสตรีอ้วนใหญ่อัปลักษณ์ป่านฉะนี้คงจะกลายเป็นสนมของคนโฉดผู้นี้ไปแล้ว
คุณชายสามได้ยินเช่นนั้นก็ก้มลงมองเสี้ยวหน้าของหนุ่มน้อย แล้วก็รีบยกแขนออกจากไหล่ของคนที่นั่งข้างๆ “อ้อ! ข้าขออภัยจริงๆ ไม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้”
“มิเป็นไรพี่สาม” หงซือซือค่อยสบายใจขึ้นมานิดหน่อย หวังว่าคราวหน้าเขาจะไม่ลืมตัวมาทำรุ่มร่ามกับนางอีก ทว่าสิ่งที่นางคิดกลับไปไม่ถึงความเอาใจใส่ของฮ่องเต้ที่พยายามคีบอาหารและยกถ้วยแกงพร้อมช้อนมาให้นาง ตลอดเวลาการรับประทานดูเหมือนเขาจะเอาใส่ใจสหายน้อยผู้นี้เป็นพิเศษ
“ท่านคงจะชื่นชอบจอมยุทธ์หงจริงๆ” อ๋องเก้าส่ายพระพักตร์เมื่อเห็นกริยาที่พี่ชายผู้แสนเย่อหยิ่งอยู่เสมอของตนลงมือเอาอกเอาใจบุรุษน้อยตรงหน้า
“นานทีข้าจะมีสหายรู้ใจ หากเอาใจน้องหงมากหน่อย วันข้างหน้าเขายังจะพอระลึกถึงข้าบ้าง” หมิงเฟยหลงนึกถึงป้ายประจำตัวที่จอมยุทธ์น้อยให้ตนไว้เมื่อคืนก่อน เขามีลางสังหรณ์ว่าวันข้างหน้าอาจจะได้พึ่งพาคนผู้นี้
“ไยพวกท่านจึงดูมีลับลมคมในกันเล่าเจ้าคะ พี่สาม?” พระชายาแสร้งโยนหินถามทาง พลันสีหน้าของคนทั้งสองที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้ามก็ดูมีพิรุธพร้อมกัน “มีจริงๆ สินะ”
“อืม...พวกเรามีสัญญาให้ความช่วยเหลือกันและกัน”
“น่าสนใจนัก สัญญาอันใดหรือ?” ท่านอ๋องเก้าวางจอกน้ำชาลง จ้องพี่ชายเขม็ง ‘เพียงคืนเดียวมังกรขาวตัวนี้ก็ลอบทำสัญญากับหัวหน้าสำนักคุ้มภัยเสียแล้ว ร้ายกาจนัก นี่หากรู้ว่านางเป็นสตรีจะมิเกี้ยวพาจนได้นำกลับวังหลวงเลยหรือ?’
“ก็แค่สัญญาของหมูโง่ขอรับ ท่านอ๋อง” จอมยุทธ์หงตอบสะบัดเสียง หานซู่ลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย คิ้วของนางปลายเฉียงต่ำมองสหายอย่างคิดจะจับผิด
“ใช่! สัญญาของหมูโง่กับเต่าไร้ลาย” คุณชายสามตอบอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นทำให้น้องชายอยากซักไซ้ไล่เลียงหนักขึ้น
“ทำไมท่านจึงมีสัญญาเช่นนั้นกับคนที่เพิ่งพบหน้าได้ ทีกับข้าท่านมิเคยคิดจะทำสัญญาช่วยเหลือสักครั้ง” น้ำเสียงของท่านอ๋องเก้าดูไม่พอใจพี่ชายอย่างเปิดเผย
“อ๊ะ! น้องเก้าเจ้าอย่าน้อยใจไปเลย สำหรับข้าเจ้าคือคนในครอบครัว สำหรับน้องหงเขาถือเป็นสหายสนิท กับเจ้าเราคือสายเลือดเดียวกันไยต้องทำสัญญาด้วยเราจะอย่างไรก็ต้องช่วยกันจนสุดความสามารถอยู่แล้วนี่ แต่น้องหงกับข้านับเป็นผู้มีวาสนาชะตาต้องกัน เราจึงมีสัญญาแฉกเช่นสหายที่ดี”
หงซือซือที่นั่งจ้องตากับหานซู่ลี่กรอกตาไปมาก่อนเหลือบมองเพดาน
‘ผู้ใดอยากวาสนากับเจ้ากัน? หากข้าไม่เมาขนาดนั้นก็ไม่มีวันจะพลาดดอก’
******************************