ตอนที่ 1 ผู้เฝ้ามอง

1763 Words
อาณาจักรโจวเสียน เป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อสามร้อยปีก่อนโดยแม่ทัพจ้าวถังเหยียน จากนั้นได้ตั้งรกรากบนแผ่นดินติดทะเล ก่อนขยายอาณาเขตไปจนถึงอาณาจักรเสวียน ทว่าท่านแม่ทัพจ้าวถังเหยียนไม่หวังในอำนาจและลาภยศ จึงมอบอำนาจในฝ่ายการบริหารให้แก่แม่ทัพโจว สหายร่วมรบแต่งตั้งขึ้นเป็นฮ่องเต้โจวอู๋หมิง ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโจวเสียน โดยแบ่งการปกครองเป็นสองฝ่าย ได้แก่ฝ่ายบริหารและฝ่ายทหาร แม่ทัพจ้าวถังเหยียนควบคุมกำลังทหารทั้งหมดของอาณาจักร ทำให้ฝ่ายบริหารเกรงว่าจะมีการยึดอำนาจ จึงเสนอให้ฮ่องเต้โจวอู๋หมิงสมรสกับจ้าวเฉินฮวา บุตรีคนโตของแม่ทัพจ้าวถังเหยียนซึ่งมีอายุห่างกันถึงยี่สิบห้าปี แม้จะไม่เต็มใจ แต่ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็ไม่อาจเลี่ยง ทำให้สกุลจ้าวและสกุลโจวเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดมาโดยตลอด และคอยค้ำจุนอาณาจักรโจวเสียนตลอดมา นับจากวันนั้นก็ผ่านล่วงเลยมาถึงสามร้อยปีแล้ว อาณาจักรโจวเสียนเป็นอาณาจักรเดียวท่ามกลางอาณาจักรน้อยใหญ่รอบข้างที่ยังไม่ล่มสลาย เนื่องจากไม่มีการแย่งชิงอำนาจกัน ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มีการก้าวก่าย จะมีก็แค่การกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยระหว่างองค์ชายที่ต้องการชิงอำนาจ แข่งกันสร้างผลงานจนบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ทายาทรุ่นที่สี่ของจ้าวถังเหยียนก็ได้สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดได้อย่างราบรื่น แต่เนื่องจากสกุลจ้าวมีบุตรยาก และบุตรคนแรกของสกุลมักเป็นชายเสมอ จึงไม่มีการชิงอำนาจใดๆ ในขณะที่บุตรีก็มักจะถูกส่งไปอบรมสั่งสอนในวังเพื่อขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคต เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าผู้สืบสายเลือดสกุลจ้าวในรุ่นนี้นั้นกลับมีเพียงแค่จ้าวหลี่จวิน ผู้บัญชาการสูงสุดหรือแม่ทัพใหญ่วัยสามสิบสองปีที่ครองความโสดมาอย่างยาวนานจนเหล่าขุนนางต่างกังวลว่าสกุลจ้าวจะไร้ทายาท และไม่เป็นผลดีต่อตำแหน่งเสาหลักของอาณาจักร พวกเขาจึงมักจะทูลเสนอฮ่องเต้โจวหรง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ประทานสมรสแก่ท่านแม่ทัพอยู่หลายหน เพราะเกรงว่ากองกำลังอาจจะอ่อนแอลงหากไม่มีการสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในอนาคต แม้จะมีบุรุษมากมายต่างหมายปองตำแหน่งนี้ แต่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถมากพอที่จะควบคุมกองทัพและวางแผนต่างๆ ได้ โดยเฉพาะความเที่ยงตรงไม่หลงใหลในความโลภที่สืบทอดทางสายเลือด ฮ่องเต้โจวหรงทรงเห็นด้วย จึงคิดจะประทานสมรสให้แม่ทัพจ้าวกับองค์หญิงสักองค์อยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งที่พร้อมจะประกาศ ก็มักมีสงครามมาขวางหน้าอยู่เสมอ จนองค์หญิงหลายพระองค์ไม่อาจรอได้มากไปกว่านี้ ทว่าหลังจบสงครามในครั้งนี้เมื่อมีโอกาสแล้วก็ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ งานเลี้ยงฉลองชัยชนะสงครามกับอาณาจักรเสวียนถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ เพราะเป็นสงครามที่องค์รัชทายาทโจวซงเชียนได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก ทำให้ฮ่องเต้โจวหรงที่ทรงผลักดันองค์รัชทายาทอยู่เบื้องหลังพอพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะผลงานชิ้นนี้ทำให้เหล่าขุนนางที่ต่อต้านองค์รัชทายาทสงบปากไปอีกหลายเดือน ทว่าตัวเอกของงานนอกจากองค์รัชทายาทโจวซงเชียนแล้ว ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งที่ได้รับความดีความชอบไม่แพ้กัน นั่นก็คือแม่ทัพจ้าวหลี่จวิน แม้จะมีความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์จนได้ชื่อว่าเป็นปีศาจในร่างคน แต่กลับมีความสามารถในการวางแผนอย่างแยบยลจนสามารถเอาชนะอาณาจักรเสวียน และตัดหัวแม่ทัพของฝ่ายศัตรูได้ในดาบเดียวจนกองทัพของอาณาจักรเสวียนต้องส่งสารขอยอมแพ้และเจรจาสงบศึก ทำให้สกุลจ้าวได้รับทรัพย์สมบัติมากมายเป็นรางวัลในครั้งนี้ รวมทั้งมีข่าวลือว่าจะมีการประทานสมรสแก่ท่านแม่ทัพกับองค์หญิงโจวเหรินฮวาอีกด้วย หวังอี้หยางมาถึงงานเลี้ยงฉลองก่อนที่ตัวเอกของงานจะเดินทางมาถึง ทว่านั่งได้ไม่นานก็ถูกเหล่าสหายในสนามรบลากไปร่วมดื่มฉลองด้วยกัน “ท่านหมอหวัง! ขอบคุณท่านที่ช่วยข้าออกมาจากซากต้นไม้ ไม่เช่นนั้นข้าคงเป็นปุ๋ยให้มันเป็นแน่ ขอคารวะท่านหนึ่งจอก!” พลทหารหนุ่มกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงสดใส แม้ว่าขาข้างหนึ่งของตนจะถูกทับกระดูกแหลกจนต้องตัดทิ้ง แต่ในเมื่อวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอยู่อย่างมีความสุข ทว่าเขาคงจะมีความสุขไม่ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์สนามผู้นี้ “ท่านก็อย่าดื่มเยอะ สุราไม่ดีต่อสุขภาพ” หวังอี้หยางเอ่ยเตือน แต่กระนั้นนางก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดในคราวเดียวท่ามกลางเสียงเฮจากรอบข้าง โดยเฉพาะเหล่าทหารที่นางเป็นคนดูแลจนหายป่วย เมื่อบุรุษผู้หนึ่งเดินออกไป อีกคนก็เข้ามารินเหล้าให้นางทันที พร้อมกับเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงของคนเริ่มจะเมา “ท่านหมอหวัง ข้าขอดื่มให้ท่านอีกจอก เพราะท่านทำให้ข้าได้กลับไปหาเมียที่ใกล้คลอดพอดี ดื่ม!” “ดื่ม!” หญิงสาวยกจอกขึ้นดื่มอีกครั้ง ในขณะที่สายตาของนางยังสอดส่ายไปทั่วเพื่อหาเงาของใครบางคน กระทั่งพบว่าคนที่นางตามหานั้น ได้ขึ้นไปนั่งบนแท่นประจำตำแหน่งใกล้กับองค์รัชทายาทแล้ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับยิ้มน้อยๆ ขอเพียงแค่ได้มองจากที่ห่างไกลเช่นนี้ ก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว แต่เมื่อรู้ตัวว่าจ้องมองนานเกินไปจนคนที่ความรู้สึกไวเช่นเขารู้ตัวและสบตากลับมา นางจึงรีบหลบสายตานั้นทันที “ท่านหมอหวัง หน้าท่านแดงมากเลย ท่านเมาแล้วหรือ ข้าอยากรินให้ท่านอีกสักจอก” นายทหารหนุ่มหน้าละอ่อนถามขึ้น เนื่องจากเขาได้รับการช่วยเหลือจากท่านหมอผู้นี้ จึงอยากจะขอบคุณก่อนที่จะไม่ได้เจอกันแล้ว หวังอี้หยางลูบแก้มของตนเองเบาๆ นางไม่ได้เมาสุรา แต่เมามายในรักที่ไม่สมหวังต่างหาก “ข้าไม่เมาง่ายๆ หรอกน่า มา! อีกพันจอกข้าก็ไหว!” หวังอี้หยางยิ้มให้ พร้อมกับยื่นจอกเหล้าให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า “ถ้าอย่างนั้นอีกพันจอก!” หนุ่มน้อยยิ้มกว้างพร้อมรินสุราให้ท่านหมอของตนอย่างกระตือรือร้นทันที ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนมองสุราไร้สีในจอกของตนเองเพียงครู่หนึ่งก่อนยกดื่มรวดเดียว ราวกับหวังว่ามันจะทำให้นางลืมความรู้สึกในใจอย่างท่วมท้นในวันนี้ได้ นางอยากจะหยุดความรู้สึกของนางในวันนี้เหลือเกิน หากได้เอ่ยสารภาพออกไปสักครั้ง นางคงไม่อึดอัดจนทรมานเช่นนี้ “หมอหญิงผู้นั้นคงจะเป็นที่รักของเหล่าทหาร ข้าเห็นนางรับจอกสุรามานานแล้ว เกือบร้อยจอกแล้วกระมัง” อู๋เจียง รองผู้บัญชาการและสหายสนิทของแม่ทัพใหญ่จ้าวหลี่จวินเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่ามีสตรีงามผู้หนึ่งกำลังรับการขอบคุณจากเหล่าทหารที่ต่อแถวยาวเสียจนไม่เห็นหางแถว ก่อนจะเห็นว่าสตรีผู้นั้นก็คือแพทย์สนามที่ติดตามกองทัพทำสงครามถึงสองปี ทั้งที่ไม่มีหมอคนใดอยากจะไปประจำในกิจสงครามสักเท่าใดนัก “นางชื่ออันใดนะ... หวัง... ” “หวังอี้หยาง” เสียงทุ้มเยือกเย็นของแม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น ในขณะที่ดวงตาเรียวเล็กนั้นกำลังจดจ้องไปที่ใบหน้าหวานล้ำของนางที่งดงามยิ่งกว่าในยามอื่นๆ ที่จำได้ก็เพราะว่านางเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่กล้าดุเขาต่อหน้าทหารในกองทัพ “นางเป็นคนที่ห้ามท่านออกไปข้างนอกหนึ่งเดือนใช่หรือไม่ ได้ยินว่านางถึงขึ้นจับท่านมัดเอาไว้กับเตียง ฮ่าๆๆ” อู๋เจียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าสหายของตนชักสีหน้าอย่างไม่พอใจที่ถูกล้อเลียน จากนั้นจึงรินสุราใส่จอกของสหายเพื่อปลอบใจ “แต่นางก็ทำถูกต้องแล้ว ในเวลานั้นท่านบาดเจ็บหนักจนเหล่าทหารต่างพากันเสียขวัญ องค์รัชทายาทก็เป็นห่วงท่านมาก ที่สำคัญสกุลจ้าวยังไร้ทายาท หากท่านตายในสงคราม อาณาจักรโจวเสียนคงวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก” จ้าวหลี่จวินถอนหายใจออกมาเบาๆ ในยามนั้นตนก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ไม่น้อยที่นางกล้าออกคำสั่งกับผู้กุมอำนาจสูงสุดเช่นเขา ทว่าหลังจากที่ความคิดตกผลึกแล้ว การกระทำของนางนั้นมีเหตุผลจนสายตาที่มองนางเปลี่ยนไปทีนะนิด ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่คือหนึ่งในสองเสาหลักค้ำอาณาจักรเอาไว้ การจะปล่อยวางได้ก็ต่อเมื่อตายหรือมีทายาทเท่านั้น ในบางครั้งแม้ว่าจะเหนื่อยจนอยากปล่อยวาง แต่เมื่อได้ยินคำพูดให้กำลังใจของนางที่มีต่อเหล่าทหารแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกละอายอยู่ไม่น้อย และเผลอเฝ้ามองโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่ง” จ้าวหลี่จวินเอ่ยพร้อมกับยกจอกสุราขึ้นดื่ม ขณะที่ดวงตายังจ้องมองใบหน้าหวานล้ำส่งยิ้มกว้างให้กับเหล่าทหารอย่างไม่สบอารมณ์นัก กระทั่งเห็นนางลุกขึ้นและเดินออกไป เขาจึงลุกขึ้นตาม “ก็ท่านสั่งเป็นอย่างเดียวนี่... แล้วท่านจะไปไหน” อู๋เจียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มเดินออกไปก่อน ก่อนที่ฮ่องเต้จะเดินทางมาถึงเสียอีก ดวงตาคมเรียวของจ้าวหลี่จวินเหลือบมองสหายของตนครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองร่างเล็กในอาภรณ์สีขาวแซมม่วงอ่อนที่เดินออกไปด้วยท่าทางมึนเมา ในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พลางคิดว่าหากตามนางไปก็อาจจะได้รับคำตอบ “ข้าจะออกไปรับลมด้านนอก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD