ไม่เป็นไร… เคยชินแล้วกับการถูกทิ้ง แม้กระทั่งพ่อกับแม่ยังไม่อยากนับหล่อนเป็นลูกเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ท่านทั้งสองใจดีกับหล่อนเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณแล้ว
ศรันย์รับไหว้ เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเขาเกิดสงสารเด็กคนนี้ แววตาของหล่อนเศร้าคล้ายกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จัก เธอชื่อ ‘ปราณี’ เป็นอดีตว่าที่คู่หมั้นที่เขาทิ้งหล่อนให้นั่งอายต่อหน้าแขกในงานหมั้นที่ไร้ฝ่ายชาย เพราะเข้าใจผิดว่าหล่อนแอบขายตัวเป็นเมียเก็บให้เสี่ยจนชีวิตหล่อนพลิกผันตกต่ำสุดถูกคนใจร้ายหลอกขายให้คนแปลกหน้าทางภาคใต้ ซึ่งโลกกลมมากเพราะไอ้หมอนั่นเป็นเพื่อนของเขาที่ล่อซื้อหล่อนไปบำเรอ ไม่ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นยังไงแต่ยังถือว่าโชคดีที่ตอนจบไม่เป็นโศกนาฏกรรมแสนเศร้าเพราะทั้งสองคนรู้สึกดีๆ ต่อกัน รักกัน
เพราะเรื่องครั้งนั้นทำให้ศรันย์พยายามไม่มองผู้หญิงคนไหนในแง่ลบมากเกินไป รวมถึงน้องคนนี้เองก็ด้วย ไอ้ภพก็ปากหมาด่าว่าน้องเขามากไปเจอตัวจริงวันนี้น้องเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายออกจะเจียมตัว
“ได้ข่าวว่าน้องเฟื่องทำงานที่บริษัทไอ้ภพมาหลายปีแล้ว ทำแผนกไหนเหรอครับ”
“การตลาดค่ะ เฟื่องดูแลเรื่องระบบการตลาดของบริษัท แค่… ตำแหน่งเล็กๆ”
“ดีครับ ถ้าเบื่อหน้าไอ้ภพวันไหนย้ายมาสมัครงานกับพี่ก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่คงยังไปไหนไม่ได้เพราะคุณแขเธอให้ทุนเฟื่องเรียนปริญญาตรี ตอนนี้ก็วางแผนไว้ว่าจะเรียนต่อบริหารค่ะ”
หญิงสาวพับเก็บชุดดังกล่าวใส่ถุงไว้ที่เดิมบอกเล่าต่อพลางหลบสายตาของชายแปลกหน้า
“สาขายอดฮิตเลยนะนั่น พี่ก็จบสาขานี้มาถ้ามีปัญหาอะไรถามได้ตลอดเลยนะ” หยิบกระเป๋าเงินออกมาค้นหานามบัตรก่อนส่งให้สาวสวย “นามบัตรของพี่ เก็บไว้ดีๆ นะอย่าให้ไอ้ภพเห็นเดี๋ยวมันหาเรื่องต่อว่าอีก”
“จะจีบกันอีกนานไหม อาหารไม่ได้มีขาวิ่งมาใส่ปากนะ ถ้าไม่กินจะเทให้หมา!” ก้าวเท้าฉับๆ กลับเข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีรณภพจึงปากไวดูถูกเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ พูดจบก็อุ้มลูกพากลับเข้าไปในห้องครัว
“น้องเฟื่องโอเคนะครับ พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันจะไม่ชอบน้องเฟื่องมากขนาดนี้”
“เฟื่องไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณรันรีบตามคุณภพไปห้องอาหารเถอะนะคะ” หญิงสาวปั้นยิ้ม ผายมือเชิญหนุ่มหล่อไปยังห้องอาหาร ไม่ได้อยู่ร่วมวงด้วยเพราะเห็นจานข้าวถูกวางไว้สำหรับสองคน
“ไม่ต้องลงมาเสนอหน้าข้างล่างอีก ฉันจะดูแลคุณภพกับคุณรันเอง”
หญิงสาวอุ้มลูกเดินออกจากห้องครัวสวนทางกับป้าแม่บ้านป้าแกหันกลับมาพูดไล่หลัง แค่มองและฟังเท่านั้นเฟื่องลดาไม่ตอบอะไร อุ้มลูกให้แน่นรีบพาลูกเดินกลับขึ้นไปนอนกลางวัน
“กินสิวะมองอยู่ได้ ไหนว่าร้านนี้เจ้าประจำของมึงไง ออกจะอร่อย ไม่กินก็เรื่องของมึง” รณภพถามเองตอบเองอย่างสบายตาสบายใจมากกว่าทุกวัน เจริญอาหารดีมากต้องเติมข้าวถึงสองครั้งกว่าจะอิ่ม
“เห็นทีกูต้องพาพ่อกับแม่แวะไปอุดหนุนบ้างซะแล้ว รสชาติอาหารไม่เลวเลย” เขายกมือขึ้นให้สาวใช้เสิร์ฟของหวานเป็นลำดับถัดไป ตักกินไปเกินครึ่งกว่าจะสังเกตว่าเพื่อนสนิทยังไม่ยอมแตะอาหารเหมือนเดิม กำลังจะถามว่ามึงเป็นห่าอะไรมันรู้ตัวก่อนจึงยอมพูดความรู้สึกออกมาหมดโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถาม
“ถ้ากูรู้ว่ามึงเกลียดเขามากขนาดนี้กูไม่ซื้อให้แค่เสื้อผ้าหรอก ดูจากการแต่งตัวของเขาแล้วมึงคงจะไม่เคยซื้ออะไรให้เขาบ้างเลยสินะ แล้วที่ให้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยไม่ใช่แค่อยากใช้เขาเลี้ยงลูกให้มึงจนแกโตแค่นั้นเองเหรอ”
“ออกไปก่อน”
รณภพสะบัดมือไล่คนในบ้านไม่ต้องการให้ใครได้ยินอะไรไปมากกว่านี้ ป้าอนงค์คล้ายจะไม่พอใจทว่าไม่สามารถขัดคำสั่งของเจ้านายได้จำเป็นต้องก้มหน้าเดินออกไปแอบฟังข้างนอก
“เขาก็ไม่ได้เลวไม่ได้ร้ายอะไร ถึงไม่ได้รักอย่างน้อยก็น่าจะทำหน้าที่พ่อกับแม่ร่วมกันได้ ไม่ใช่อะไรนิดๆ หน่อยๆ มึงก็ด่าก็ว่าเขา คนเราโดนด่าบ่อยๆ ก็เสียใจเป็นเหมือนกันนะ ทำไมมึงไม่รู้สึกสงสารเขาบ้างวะ”
“ก็พูดได้สิมึงไม่ใช่กูนี่นา มึงไม่รู้หรอกว่ายัยคนนั้นเป็นแม่ที่แย่มากขนาดไหน มีใครที่ไหนคลอดลูกได้สองเดือนแต่ทิ้งลูกหนีตามผู้ชายไปอยู่ต่างประเทศ สองสามเดือนให้หลังถึงกลับมา เงินก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี จะเลี้ยงลูกยังไง ผู้หญิงมีแต่ตัวแถมไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นเชิญมึงสงสารเขาไปคนเดียวเถอะกูไม่เอาด้วยหรอก!”
ศรันย์สะอึกเพราะไม่เคยรู้เรื่องจำพวกนี้มาก่อนจึงทำได้แค่เงียบและฟังมันตวาด “นิสัยแย่ทิ้งลูกให้เพื่อนต้องรับภาระช่วยเลี้ยงตั้งหลายเดือน แล้วที่ระริกระรี้อยากเข้ามาอยู่ในบ้านก็เพราะอยากจับกูไม่ใช่เหรอ! มึงไม่รู้จักนิสัยยัยนั่น ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรไม่ต้องมาทำตัวเป็นคนดีปกป้องผู้หญิงพรรคนั้น กูไม่ซึ้งกับมึง!”
“ขอโทษ ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มึงไม่เคยเล่าอะไรให้กูฟังเลย”
“กูก็เล่าอยู่นี่ไง ต่อไปเวลาจะใจดีใจดีกับลูกกูก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเผื่อแผ่ผู้หญิงคนนั้นให้หล่อนได้ใจ”
รวนใส่ ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดกระแทกก้นแก้วลงกระทบขอบโต๊ะแรงๆ ทางด้านศรันย์นั้นเขามองตามหลังเพื่อนก่อนจะถอนหายใจหนักหน่วง กลืนข้าวไม่ลงมากกว่าเดิมจึงส่งเสียงเรียกเด็กมาเก็บโต๊ะอาหาร
ประตูห้องนอนเล็กถูกผลักเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อนด้วยฝีมือของลูกชายเจ้าของบ้าน เฟื่องลดานอนบนพื้นเฝ้าลูกเห็นดังนั้นก็ยันกายลุกขึ้นมองเขา
“นึกว่าจะกำลังมีความสุขอยู่กับเสื้อผ้าเครื่องสำอางใหม่” เขายิ้มเย้ยหยันพลางเดินเข้ามาแบมือตรงหน้า “ฉันมาเอานามบัตรของไอ้รันคืน มันคงไม่ได้อยากจะให้เธอติดต่อไปให้มันรำคาญสักเท่าไหร่”
คนฟังสูดลมหายใจเข้าลึกกลั้นหยาดน้ำตา ลุกขึ้นเดินไปหยิบมันออกจากลิ้นชักเล็กๆ มาคืนให้ “เฟื่องยังไม่ได้ดู ยังไม่ได้จำเบอร์ คุณภพไม่ต้องกังวลหรือถามเฟื่องต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะคะ”
“ตีหน้าเศร้าทำไม”
ก้าวเท้าเข้ามาประชิดกระทั่งแผ่นหลังหล่อนชนกำแพง “คนเขารู้กันทั้งบ้านแล้วว่าเธอนิสัยเลวร้ายแค่ไหน ไอ้รันมันก็รู้แล้ว! สมน้ำหน้าเถอะนะเพราะคงจะไม่มีใครหลงซื้อของฝากมาให้เธออีก”
“เฟื่องไม่เคยอยากได้ของของคนอื่น ถ้าคุณภพไม่สบายใจ… เอากลับไปได้เลยค่ะ อยู่ที่เดิมเฟื่องยังไม่ได้ถือขึ้นมาเก็บบนบ้าน”
“ไม่จำเป็น แค่เศษเงินของไอ้รัน อยากจะใส่จะลองกี่ครั้งก็เรื่องของเธอ ร้องไห้ทำไม!”
ปลายนิ้วแข็งแรงจับปลายคางหล่อนบีบและบังคับให้เงยหน้าขึ้นมามองตนเอง จะได้เห็นชัดๆ ว่าร้องไห้จริงหรือเสแสร้ง
“คุณภพ เฟื่องเจ็บ…” เอ่ยเสียงแผ่วเบาวอนขอให้เขาปล่อยตนเอง