ตอนที่ 5 ปลูกผักกันเถอะ

2108 Words
ตอนที่ 5 ปลูกผักกันเถอะ ถึงแม้คิดจะปลูกผักเลี้ยงสัตว์ แต่เมล็ดพันธุ์ผักดี ๆ ยังต้องใช้เงินซื้อ ซูฮุ่ยหมิงจนปัญญาแล้วจริง ๆ ที่บ้านไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เธอนอนเอามือก่ายหน้าผากจ้องมองหลังคาบ้านผ่านความมืด หากยกเท้าขึ้นมาก่ายได้เธอคงทำไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องลงจากรูรั่ว หากวันใดฝนตกบ้านหลังนี้คงเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทำไมสวรรค์ให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่กลับไม่เงินทองให้เธอมาด้วย ยิ่งเห็นลูกทั้งสองผ่ายผอมคนเป็นแม่ก็ยิ่งปวดใจ ต่อให้เด็กสองคนจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อเธอมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ใครจะปฏิเสธได้ว่าทั้งสองไม่ใช่ลูกเธอ ในอดีตซูฮุ่ยหมิงเป็นหมันไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถมีลูกได้ แต่วันนี้เธอได้เป็นแม่คนแล้ว และความจนไม่สามารถจะมากักขังความรักของเธอที่มีต่อลูกได้ ไม่ว่าอย่างไรสองมือของแม่ ก็จะประคองลูก ๆ ให้อยู่รอดให้ได้ "แม่นอนไม่หลับเหรอคะ" ซูฮุ่ยหมิงหันกลับมาก็เห็นดวงตากระจ่างปรือลง เธอสอดแขนไปที่ท้ายทอยของเฟยหงและรั้งมากอดเอาไว้ "แม่ทำหนูตื่นเหรอลูก" "เปล่าค่ะหนูปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำค่ะ" แขนที่กำลังกอดลูกชะงัก พร้อมทั้งหัวเราะออกมาจนเตียงสั่น เธอก็กลัวว่าจะเผลอถอนหายใจแรงจนลูกตื่น ที่ไหนได้แม่ตัวน้อยอยากเข้าห้องน้ำนี่เอง "ไปจ้ะ...แม่พาหนูไป" เฟยหงอ้าปากหาวและขยับตัวลงจากเตียง ร่างเล็กเซเพราะความง่วง ซูฮุ่ยหมิงส่ายหน้าขำ พร้อมทั้งย่อตัวลงไปอุ้มลูกสาวเปิดประตูออกไปจากบ้าน ห้องน้ำอยู่ไกลจากตัวบ้านทว่าแสงจันทร์ที่สาดส่องก็สว่างจนไม่ต้องจุดตะเกียง ถึงแม้ว่าซูฮุ่ยหมิงจะทะลุมาอยู่ในยุค 80 ยุคที่ประเทศกำลังพัฒนา เครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มมีแพร่หลาย เช่นเดียวกับโทรศัพท์และรถยนต์ที่มีใช้กันบ้างแล้ว ผู้คนสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตนเองได้อย่างเสรี บางพื้นที่เงินหยวนถูกนำมาใช้แทนที่คูปองมากขึ้น ทว่า!!!...ไม่ใช่ในหมู่บ้านผิงอันแห่งนี้ มณฑลเซินเจิ้นยังเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ จึงมีความล้าหลังมากกว่าในเมือง แต่กระนั้นที่นี่ก็ยังดีว่ามณฑลอื่น ๆ เพราะประชาชนในพื้นที่สามารถค้าขายได้อย่างอิสระภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่การปกครอง นั่นก็ดีมากพอสำหรับซูฮุ่ยหมิงแล้วหมู่บ้านผิงอันอาจจะไม่เจริญ แต่ในอำเภอก็ยังเจริญอยู่มาก "เสี่ยวหงเดินดี ๆ แม่ยืนรอหนูอยู่ตรงนี้" เธอยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ และไม่ลืมกำชับเด็กขี้เซาอีกรอบ "ได้ค่ะ" เฟยหงเดินเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนซูฮุ่ยหมิงก็หันไปมองรอบ ๆ บ้าน พลางใช้ความคิดที่จะปฏิรูปพื้นที่ว่างให้ทำประโยชน์ได้ ทว่าเมื่อเพ่งมองไปยังแปลงผักที่พวกเธอเริ่มปรับหน้าดินเมื่อสามวันที่แล้ว ก็เห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งกำลังก้มหน้าขุดดินอย่างขะมักเขม้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าหวานพลันบึ้งขึ้น "เสี่ยวหงเสร็จแล้วหนูรอแม่ตรงนี้นะ" "ได้ค่ะแม่" เสียงเล็ก ๆ ตอบออกมาจากห้องน้ำ ซูฮุ่ยหมิงรีบเดินไปยังแปลงผัก จนกระทั่งเดินเข้าไปยืนตรงหน้า เฟยเทียนจึงรู้สึกตัว "ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ทำไมลูกยังไม่นอนอีก" เฟยเทียนยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ พลางก้มหน้าเม้มปากแน่น "ผมอยากทำให้เสร็จไว ๆ ครับ" "แม่รู้จ้ะ...แม่รู้ว่าลูกอยากทำให้เสร็จ แต่เสี่ยวเทียนพวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะช่วยกันทำ แล้วที่แม่เห็นคืออะไร ทำไมลูกต้องออกมาทำเองคนเดียว หรือว่าแม่คนนี้ใช้ไม่ได้เลย ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงให้ลูกได้" "ไม่ใช่นะครับ!!!..." เฟยเทียนรีบส่ายหน้ารัว ๆ ครั้นเห็นน้ำตาของแม่ที่ไหลออกมาหัวใจเขาก็บีบรัดรีบทิ้งจอบลงแล้ววิ่งเข้าไปหา กำลังจะทิ้งตัวคุกเข่า ทว่าแม่ก็คว้าตัวเขาเอาไว้ก่อน "ยังจะคุกเข่าอีก หัวเข่าลูกไม่เอาแล้วใช่ไหม แผลยังไม่หายเลยนะ" ยิ่งพูดซูฮุ่ยหมิงก็ยิ่งร้องไห้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้ เธอเสียใจจริง ๆ เสียใจที่ตัวเองไร้ประโยชน์ ไม่อาจทำหน้าที่แม่ที่ดี เป็นที่พึ่งให้ลูกไม่ได้ ยิ่งเห็นลูกชายตัวน้อยต้องมาแบกรับทุกอย่างเอาไว้บนบ่า เขาอายุเท่านี้เอง ตัวก็เล็กเท่านี้เอง ทำไมเด็กคนหนึ่งจะต้องทิ้งความเด็กของตัวเอง เพื่อแม่ชั่ว ๆ คนนั้นแบบนี้ด้วย เขาควรมีรอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนเฟยหง ทว่าเขากลับ...เขากลับ...โตเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน เฟยเทียนเห็นแม่ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลนลานขึ้นมา เด็กน้อยโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกแม่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขากอดแม่เอาไว้แน่น และร้องไห้ออกมาจนตัวสั่น "แม่ครับ...แม่อย่าร้องเลย เป็นความผิดของผม เสี่ยวเทียนผิดเอง เสี่ยวเทียนไม่เชื่อฟังแม่ แม่ตีเสี่ยวเทียนเถอะนะ ตีผมเถอะ แต่แม่อย่าไม่ต้องการผมได้ไหม อย่าเกลียดผมเลย ผมขอโทษ" ซูฮุ่ยหมิงทรุดตัวลงคุกเข่ากอดร่างเล็ก ๆ ที่สั่นเทาเอาไว้ "เสี่ยวเทียนแม่รักลูก ต่อให้แม่ตายก็ไม่มีวันที่จะไม่ต้องการลูกทั้งสอง อย่ากลัวนะ อย่ากลัวไปเลย เชื่อใจแม่เถอะ" เธอลูบหลังปลอบใจเด็กชายอยู่นาน จนกระทั่งเห็นว่าเฟยหงเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ จึงได้เช็ดน้ำตาออกไป "เข้าบ้านกันเถอะ เสี่ยวเทียนไปล้างตัวก่อน แล้วตามไปนอนในห้องแม่" ซูฮุ่ยหมิงอุ้มเฟยหงเข้าไปก่อน ไม่นานเฟยเทียนก็ตามเข้าไป คืนนั้นสามแม่ลูกไม่มีใครนอนหลับเลยเพราะรู้ดีว่าหากไม่พูดคุยกันให้เข้าใจ ลูก ๆ ก็อาจจะไม่วางใจ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สิ่งที่ร่างเก่าทำไว้มันก็เหมือนแผลเป็นที่ฝังลึกในใจของเด็ก ๆ เหมือนกับสีดำที่สาดลงไปในผ้าขาว ๆ เธอพยายามจะซักผ้านั้นให้ขาวเหมือนเดิม และแน่นอนว่ามันต้องใช้เวลา... "เสี่ยวเทียนแม่รู้ว่าลูกเป็นห่วงแม่ จึงอยากทำงานให้เสร็จ แต่ลูกยังเล็ก แปลงผักเราก็ไม่ได้รีบขนาดนั้น ค่อย ๆ ทำก็ยังไม่สาย ถ้าลูกหักโหม ผลที่ตามมามันไม่คุ้มกันเลยไม่ว่าอะไรก็ตามหากมากเกินไปก็ไม่ดี ต้องทำแต่พอดีทำเท่าที่ตัวเราไหว การที่ลูกไปตากน้ำค้างขุดดิน ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เมื่อยล้า และน้ำค้างในยามค่ำคืนจะทำให้ลูกล้มป่วย เพราะอย่างนี้แม่จึงไม่อยากให้ลูกหักโหม แต่แม่ดีใจที่ลูกอยากทำเพื่อพวกเรา" เธอหยุดพูดและหันไปมองหน้าเล็ก ๆ ที่ดวงตายังคงแดงก่ำ มือเรียวยกขึ้นไปวางที่แก้มตอบ "เสี่ยวเทียนที่ผ่านมาลูกแบกรับทุกอย่างมากพอแล้ว ต่อไปนี้ทุกเรื่องสัญญาได้ไหม ว่าจะแบ่งปันมันกับแม่ ลูกอยากทำอะไร แม่ก็จะทำกับลูกเอง ให้แม่ได้มีส่วนร่วมในชีวิตของลูกเถอะนะ" เฟยเทียนเอาหน้าพิงกับมืออุ่นจนร้อน เขาหลับตาลง กลืนก้อนสะอื้นลงคอ และลืมตาขึ้นมา ตอบรับอย่างเต็มใจ "ผมรู้แล้วครับ ต่อไปผมจะเชื่อฟังแม่ จะไม่ทำให้แม่เป็นห่วงอีก" "หนูด้วยค่ะ หนูก็จะเชื่อฟังแม่" เฟยหงเห็นพี่ชายพยักหน้าหงึก ๆ ตัวเองก็พยักหน้าบ้าง ที่แม่พูดเธอเองก็ฟังทุกคำ และจดจำในใจเสมอ ซูฮุ่ยหมิงมองฝาแฝดที่พยักหน้าแรง ๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร ก็ทั้งจนใจทั้งรักใคร่ เธอรั้งเด็กน้อยให้นอนด้วยกันเสียในห้อง หลังจากที่เปิดใจออกมา สามแม่ลูกก็นอนกอดกันหลับไปจนเช้า เป็นค่ำคืนที่แสนจะอบอุ่นไปทั้งใจ หลังจากวันนั้นซูฮุ่ยหมิงและสองแฝดต่างก็ช่วยกันปรับหน้าดินกันคนละไม้คนละมือ ไม่นานก็เสร็จจนได้ แปลงผักถูกขุดขึ้นมาถึงห้าแปลง มีแปลงผักแล้ว แต่เมล็ดพันธุ์ล่ะ เธอกลุ้มใจเป็นอย่างมาก หากไม่มีเมล็ดพันธุ์ก็คงต้องเข้าไปหาผักป่ามาเพาะปลูก แต่ใครจะรู้ว่าเฟยหงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาได้ยินเธอบ่นตั้งแต่เมื่อไร เด็กหญิงกลับถามว่า "เรามีเงินนะคะ แม่ซ่อนเอาไว้จำไม่ได้เหรอ" ซูฮุ่ยหมิงดวงตาเป็นประกาย แน่นอนว่าเธอจำไม่ได้ แต่เมื่อพยายามค้นหาความทรงจำนั้นก็เจอได้อย่างไม่ยากหญิงสาวรีบลากเตียงเก่า ๆ ออกมา และเปิดช่องเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้เตียง ก็เจอเข้ากับกล่องไม้หนึ่งกล่อง ภายในกล่องมีเงินหยวนอยู่จำนวนหนึ่ง เงินพวกนี้เป็นเงินที่ร่างเก่าขายที่นาของปู้อัน และเหรียญพวกนั้นก็เป็นเงินที่ลูก ๆ ไปขอมาจากตลาด ถึงแม้จะโมโหกับสิ่งที่หญิงสารเลวร่างเก่านั้นทำกับลูก แต่เธอก็กลืนก้อนเลือดของความโมโหนั้นลงไป ถึงอย่างไรเงินจำนวนนี้ก็จำเป็นต่อพวกเธอทั้งบ้าน วันต่อมาซูฮุ่ยหมิงพาเด็ก ๆ เข้าไปในตลาดเพื่อหาซื้อเมล็ดพันธุ์ผัก และยังแบ่งเงินไปซื้อผ้าสองพับรวมทั้งเข็มกับด้ายและอาหารกลับมาเก็บไว้ที่บ้านอีกจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ลืมลูกกวาดหลากสีที่ลูกสาวจ้องตาเป็นมันอีกเกือบสิบเม็ด หลังจากได้ของทั้งหมดมาแล้ว ทั้งสามคนก็ลงมือปลูกผักกันทันที "อุ๊ยตาย...ปีนี้ท่าทางฝนจะแล้ง พี่สะใภ้ใหญ่ลุกขึ้นมาปลูกผักกับเขาเป็นด้วย ไม่กลัวมือจะหยาบกร้านหรือจ๊ะ" หลิวหยางสะใภ้รองสกุลปู้ ยืนเท้าเอวมองสามแม่ลูกที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่มีคนเคยบอกหรือว่าการเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตมันเสียมารยาท! "น้องสะใภ้ปากดีเหลือเกิน พูดจาแต่ละคำช่างเป็นมงคล ว่าแต่ลมอะไรหอบเธอมาที่บ้านของฉันกันล่ะ" หลิวหยางกัดฟันถลึงตาใส่ ทว่าสายตาก็หันไปเห็นของกินบนโต๊ะ ดวงตาเล็กเป็นประกายขึ้นมา "ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่มาเตือนน่ะพี่สะใภ้คงไม่ลืมนะว่าถึงเวลาจ่ายดอกเบี้ยให้กับบ้านฉัน อ้อ...อย่าบอกว่าไม่มีนะ เพราะมีเงินไปซื้อเมล็ดผักและของกินได้ ก็ต้องมีเงินจ่ายหนี้สิ" "หนี้ที่อาอันไปยืมมาฉันว่ามันควรจะหมดไปได้แล้วนะ เธอยังทวงอยู่ทุกเดือนไม่อายบ้างหรือ หากินกับคนที่ตายไปแล้วแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ..." "พี่สะใภ้พูดแบบนี้จะโกงกันเหรอ ตอนที่พี่ใหญ่มายืมพี่สะใภ้ก็มาด้วยนี่ ตอนนี้จะผิดคำพูดได้อย่างไร ถ้าคิดจะโกงกันฉันก็ต้องเอาเรื่องไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้าน" "ได้!!!...น้องสะใภ้เธอเอาเรื่องไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านได้เลย ฉันจะรอ กลับไปได้แล้ว พวกฉันต้องทำงาน ไม่มีเวลามาเถียงกับเธอหรอก" ซูฮุ่ยหมิงไล่คนอย่างไม่ไว้หน้า สองพี่น้องมองหน้ากันซ่อนยิ้มเอาไว้มุมปากไม่ได้พูดหรือห้ามอะไรเลย ทั้งสองก็ไม่ชอบอาสะใภ้รองสักเท่าไรนัก แต่ก็อดเป็นห่วงแม่ไม่ได้ ถ้ารู้ถึงหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซูฮุ่ยหมิงไม่รู้ถึงความคิดของลูก ๆ ทว่าเธอรู้อยู่อย่าง อีกไม่นานแม่ผัวมหาภัยจะต้องมาเยือนในอีกไม่ช้าแน่ มาเถอะ!!!...แทบจะรอไม่ไหวแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD