มุจลินทร์ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามมารดาและมองดูผู้ที่อยู่ตรงหน้ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับเครื่องอัญมณี นิ้วเรียวยาวเคลือบผิวเล็บสีชมพูอ่อนกรีดกรายไปบนหินมีค่าเหล่านั้นราวเป็นสิ่งบอบบางอันน่าทะนุถนอมด้วยเกรงจะแตกหักคามือ
“คุณแม่คะ....คุณแม่เป็นหนี้ตั้งสิบล้านจริงหรือคะ”
คำถามของบุตรสาวเหมือนปลายดาบแหลมพุ่งทะลุความรู้สึกอันรื่นรมย์จนแตกกระจาย ณัฐญาณีวางสิ่งของในมือลงและมองกลับมายังสาวน้อยที่เธอทั้งรักทั้งหวงแหน
“ลิน....ลินไปได้ยินอะไรจากใครมาคะลูก”
“มันไม่ได้สำคัญนี่คะ....ลินแค่อยากรู้ ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีอะไรที่คุณแม่ยังไม่ได้บอกลิน โดยเฉพาะเรื่องสถานะทางการเงินของเรา ที่ลินมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายนี่ก็เพราะคุณแม่ต้องเป็นหนี้เขามากมายมหาศาลแบบนี้....จริงใช่ไหมคะแม่”
เสียงอันสั่นเครือของหญิงสาวทำเอาณัฐญาณีถึงกับต้องฝืนกลืนก้อนแข็งที่ติดแน่นในลำคอกลับเข้าไป หญิงวัยสี่สิบนิ่งเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตาที่หยาดหยดลงบนแก้ม
“แม่ขอโทษลูก....แม่ไม่เคยบอกลูกว่าแม่รักษากิจการของพ่อไว้ไม่ได้ แม่ทำให้ทุกอย่างบายปลายจนมันถึงทางตัน ถึงตอนนี้แม่คงต้องบอกลินแล้วล่ะ ว่าแม่.....เป็นหนี้เขาอยู่ตั้งสิบล้านจริง ๆ “
มุจลินทร์วางมือลงข้างกายเหมือนหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน ณัฐญาณีเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมานั่งข้างร่างบางที่เริ่มสะอื้นไห้
“ลินฟังแม่นะคะ....ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อลูก”
“เป็นหนี้เพื่อหนู....แม่ไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ ลินไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าเราเป็นพวกจนไม่ลง เป็นยากจกไม่มีกินยังดีกว่าเศรษฐีที่เป็นหนี้เขา แม่ขายบ้านหลังนี้ก็ได้นี่คะจะได้เอาเงินไปใช้หนี้ ขายได้เท่าไหร่ก็ใช้หนี้ให้หมด แม่ไม่มีเงินส่งหนูเรียนหนูก็จะทำงานช่วยแม่”
“โธ่เอ๊ย!.....เด็กโง่ ลูกคิดว่าเงินพันสองพันจะจัดการอะไรได้ ฟังแม่สิคะ....ที่แม่รับปากแต่งงานกับคุณอนันต์มันไม่ใช่แค่เหตุผลของคนจนตรอก เขายินดีจะช่วยเหลือแม่ทุกอย่าง เขาตั้งใจจะช่วยปลดหนี้ให้แม่ เราไม่จำเป็นต้องขายบ้าน ลูกก็จะได้เรียนจบ”
“มันเป็นความพอใจของคนมีเงิน....ที่อยากทำเพราะเขาพอใจ แต่แม่ก็เห็นว่าคุณอนาคินลูกชายเขารังเกียจพวกเราแค่ไหน เขาทำเหมือนเราเป็นกิ้งกือใส้เดือน แม่ทนรับสภาพนั้นได้หรือคะ”
“คนที่มีอำนาจตัดสินใจคือพ่อของเขา อนาคินก็ต้องยอมรับเราได้ในสักวัน ลูกจะต้องแคร์อะไรกัน ลิน....ลินจะไปไหนลูก” ณัฐญาณีร้องถามเมื่อบุตรสาวผุดลุกขึ้น
“หนูปวดหัวค่ะแม่....หนูขอตัวกลับห้อง”
พูดจบหญิงสาวก็รีบเดินขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องนอนด้วยใบหน้าซีดเซียว มารดาของเธอจะไม่มีวันรู้ว่าความชิงชังรังเกียจของอนาคินว่ามีอานุภาพรุนแรงแค่ไหน ผู้ชายคนนั้นเป็นยิ่งกว่าคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นเลยว่าเวลาแห่งการทำลายล้างจะเดินทางมาถึงเมื่อใด เธอยังคงมองเห็นความหยามเหยียดในดวงตายาวรีคู่นั้นซึ่งมิอาจสลัดทิ้งไปจากความรู้สึกได้ง่าย ยิ่งได้มารู้ว่าสิ่งที่เขาบริภาษมารดาของเธอเป็นเรื่องจริงก็ให้นึกหวั่นเกรง บางทีอำนาจการตัดสินใจเป็นของอนันต์ ผู้ชายที่กำลังจะมาเป็น พ่อใหม่ ของเธอ หากแต่อำนาจในการจัดการนั้นเล่า....อาจเป็นของ อนาคิน
เป็นเวลาเนิ่นนานที่หญิงสาวร่างบอบบางภายใต้เสื้อแขนสั้นสีขาวผ้ามัสลินและกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีดำยังคงนั่งเอามือข้างหนึ่งเท้าคางขณะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องที่ภายในยินเสียงจอแจพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระยามว่างเว้นจากชั่วโมงเรียน มุจลินทร์ยังคงนั่งครุ่นคิดเรื่องของมารดาและหนี้มากมายมหาศาลที่จะทำอย่างไรลำพังณัฐญาณีและตัวเธอเองก็มิอาจแบกรับปัญหาไว้ได้ทั้งหมด หญิงสาวทอดถอนใจหนัก ๆ หลายหนขณะที่มืออีกข้างหมุนปากกาไปมาอยู่บนโต๊ะแล็กเชอร์อย่างเหงาหงอยโดยมิทันได้สังเกตสิ่งผิดปกติในห้อง เธอรู้สึกเหมือนบรรยากาศการพูดคุยเงียบสงบลงในฉับพลันทันที ลมหยุดพัดหรืออย่างไรทั้งที่เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยังคงพลิ้วไหวอยู่บนไหล่บาง มุจลินทร์วางปากกาในมือลงก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะพบต้นเหตุของสิ่งไม่ปกติในห้อง
อนาคิน.......
ร่างสูงสง่าของนักกีฬาว่ายน้ำมหาลัยภายใต้เชิ้ตผ้าไหมแขนยาวสีขาวตัดกับกางเกงเดนิมสีดำสนิทก้าวมาหยุดยืนใกล้ ๆ ท่ามกลางสายตาอันฉงนฉงายนับสิบคู่ที่จ้องมองมายังจุดเดียวกันคือ เธอ ละ เขา ว่าที่พี่ชายจอมหยิ่งยโส ใบหน้าคมคายนั้นดูนิ่งเฉย หากแต่กลับจุดไฟร้อนในตัวมุจลินทร์ให้ลุกช่วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวเหลือบมองเจ้าของดวงตาอีกหลายคู่ที่จ้องมาอย่างสงสัย บ้างกระซิบกระซาบอย่างไม่อยากเชื่อภาพที่สายตาแลเห็นอยู่เบื้องหน้า หากแต่ผู้ที่ถูกจับจ้องกลับไม่รู้สึกว่าการมาถึงของตนทำให้ใครหลายคน ณ ที่นั้นตะลึงงันราวถูกหลอมละลายด้วยใบหน้าคมราวรูปปั้นอันสลักเสลาและผิวสีมะกอกที่สะท้อนความกำยำล่ำสันบนเรือนร่างสูงใหญ่ราวกับเจ้าชายในเทพนิยาย
“คุณ....อนาคิน”
“ฉันเอาของมาคืนเธอ”
นัยน์ตาสีเข้มเป็นประกายยามมองมายังหญิงสาว มุจลินทร์รู้สึกร้อนผ่าวบนผิวแก้มทั้งก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่อนาคินกล่าวออกมา
“เอาของมาคืนฉัน.....”