บทที่ 3 กรรมเก่า…1

2118 Words
เวลาล่วงเลยมาถึงยามเว่ย หลีเริ่นหรานก็พาร่างเล็กๆ ของนางมาที่ริมธารน้ำสายหนึ่งที่ทอดยาวลงมาจากน้ำตกสูงชันที่มองเห็นอยู่ไกลลิบๆ ป่าแห่งนี้นอกจากมีความอุดมสมบูรณ์มากแล้ว ยังกว้างใหญ่นัก นางได้ยินท่านพ่อของนางพูดว่า หากเดินเท้าไปยังป่าชั้นในของเขาลูกนี้ เราจะพบกับสัตว์ใหญ่มากมาย เพราะป่ายิ่งลึก ยิ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยของใหญ่และดุร้าย ไม่ว่าจะเป็นพวกเสือ กระทิง หมูป่า กวาง หรือแม้แต่จิ้งจอก ทว่าหากพวกเขาเดินอ้อมเขาลูกนี้ แค่บริเวณป่าชั้นนอกกับชั้นกลาง ด้วยระยะทางประมาณสองร้อยลี้ พวกเขาก็เข้าเขตแดนของแคว้นเป่ยจ้าว ที่เป็นแคว้นใหญ่พอๆ กับแคว้นตงฟู่ ทว่ามีอากาศหนาวเหน็บและยาวนานกว่าแคว้นตงฟู่มาก สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นจึงเป็นสัตว์หมีและจิ้งจอกเป็นส่วนใหญ่ หลีเริ่นหรานกวักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้ากลมๆ ของตัวเอง ก่อนจะทอดมองไปยังเบื้องหน้า นอกจากเรื่องที่บิดาเล่าให้ฟังแล้ว พี่ใหญ่ของนางก็ยังเล่าเสริมอีกว่าเขาลูกนี้ยังสามารถใช้เป็นทางผ่าน เพื่อเดินทางไปยังแคว้นหนานไห่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นตงฟู่ได้อีกด้วย ทว่าระยะทางนั้นยาวไกลกว่าไปแคว้นเป่ยจ้าวมากนัก เพราะเมืองเซียงอู่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ตอนนี้ แม้จะไม่ได้เรียกว่าเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับแคว้นเป่ยจ้าว แต่ก็ไม่ได้ไกลกันจากเมืองชายแดนมากนัก ยิ่งถ้าเดินทางอ้อมภูเขาไปโดยไม่ผ่านหัวเมือง จะย่นระยะทางไปได้เกือบสามสิบลี้ “เอ๊ะ!?” ร่างน้อยขมวดคิ้วนิ่วหน้า เมื่อจมูกของนางพลันได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ลอยปะปนมากับสายลมอ่อนๆ ที่พัดพามา ความจริงแล้วหลีเริ่นหรานนั้นมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นมาก แต่ด้วยวุฒิภาวะของดวงวิญญาณที่สิงอยู่ในร่าง ทำให้นางไม่เอ่ยเล่าถึงความพิเศษนี้ให้ใครฟัง เพราะหลังจากที่นางลองสังเกตและทดสอบตัวเองดูหลายครั้ง หลีเริ่นหรานจึงมั่นใจว่าจมูกของนางนั้นพิเศษกว่าคนอื่นๆ หลังจากที่รู้แล้วว่าต้นหวงเซ่ออันหายากนั้นมีราคาต้นละหนึ่งตำลึง วันต่อมาที่นางขึ้นเขาอีกครั้ง นางย้อนกลับไปเก็บต้นหวงเซ่อต้นแรกที่นางเห็นพร้อมกับพี่ใหญ่มา เพราะจำได้ว่าต้นหวงเซ่อต้นนั้นใหญ่กว่าต้นที่นางเก็บไปในตอนแรกมาก แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อผู้เป็นพี่ชายเอาไปขายราคาของต้นหวงเซ่อต้นนั้นก็มากถึงสิบตำลึง ภายหลังนางจึงลองสูดดมกลิ่นของใบและดอกของต้นหวงเซ่อ กระทั่งจำกลิ่นได้ขึ้นใจ และเมื่อขึ้นไปหาสมุนไพรบนเขา ทุกครั้งที่มีลมพัด นางจึงมักได้กลิ่นของต้นหวงเซ่อนี้ลอยมากับลมเสมอ รวมทั้งสมุนไพรหายากและมีค่าชนิดอื่นด้วย แล้วตอนนี้นางก็ได้กลิ่นสมุนไพรของต้นหงลู่! ต้นหงลู่นั้นนับว่าเป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ยากกว่าต้นหวงเซ่อนัก ทว่าก่อนหน้านี้นางกับพี่รองเคยเก็บเจ้าต้นหงลู่นี้ได้ครั้งหนึ่งด้วยความบังเอิญ หลีเริ่นหรานเพ่งมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของธารน้ำสายนี้ กระทั่งสังเกตเห็นแสงวิบวับหลากสีทอประกายแสงแดดยามบ่ายอยู่ริมตลิ่ง นางจึงรู้ได้ในทันทีว่าแสงที่ส่องประกายอยู่นั้นเป็นแสงของต้นหงลู่ แถมยังต้นใหญ่มากอีกด้วย เด็กน้อยหันรีหันขวาง ต้นหงลู่ราคาแพงนั้นอยู่ไกลถึงริมตลิ่งฝั่งตรงข้าม อีกทั้งนางก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วธารน้ำสายนี้ลึกมากแค่ไหน แต่ดูจากความกว้างประมาณเกือบสิบฉื่อแล้ว เป็นไปได้สูงที่เดียวที่ธารน้ำนี้อาจจะมีความลึกหลานฉื่อซ่อนอยู่ แล้วนางจะไปเก็บต้นหงลู่ได้ยังไง? เด็กน้องนั่งเอามือเท้าคางอยู่ริมตลิ่ง มองดูสมุนไพรมีค่าส่องประกายแสงสีรุ้งแวววับสมชื่ออยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเคืองขุ่นแกมหมั่นเขี้ยว ประหนึ่งว่าเจ้าต้นไม้นั่นกำลังยั่วยวนนางให้ข้ามฝั่งไปเก็บ ทว่านางไม่สามารถข้ามฝั่งไปเก็บได้ มันจึงได้เล่นแสงสีล้อเลียนนางที่ไร้สามารถ ฮึ่ม! ....ถ้าข้าลอยได้นะ เจ้าระวังตัวไว้เถอะ เจ้าต้นหงลู่! “เฮอะ!” หรานน้อยส่งเสียงออกมาอย่างรำคาญสายตาที่ไม่อาจละไปจากสมุนไพรมีค่านั้นได้ ทว่าการเหาะเหินเดินอากาศได้ที่นางคิดนั้นก้ยังเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ไร้การยืนยัน เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยคนนี้ นางก็ยังไม่เคยเห็นใครเหาะได้ หรือใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนไหวเลยสักคน เห็นทีว่าสิ่งที่มนุษย์ยุคหลังจากนี้ไปอีกพันปีจะเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน คงไม่มีมนุษย์คนใดเหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วความพิเศษที่นางมี และสิ่งที่เรียกว่าปราณต้นกำเนิดล่ะ...คือสิ่งใด? เพราะคนเราไม่ได้มีมันสมองที่ชาญฉลาดเสมอๆ ในทุกๆ ครั้ง เรื่องบางเรื่องที่ทำลงไปจึงกลายเป็นเพียงสิ่งที่โง่งมในบางครา หลีเริ่นหรานเก็บเถาวัลย์เครือน้อยใหญ่มามัดรวมกัน ก่อนจะนำไปมัดรอบต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ธารน้ำนั้นมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางก็จะต้องเอาต้นหงลู่หน้าตายนั้นกลับบ้านให้ได้! วันนี้พี่ใหญ่ของนางเดินเท้าเข้าไปในตัวเมืองเป็นเพื่อนมารดาและพี่สาม เพราะเครื่องปรุงหลายอย่างในเรือนใกล้หมด มารดาจึงต้องไปซื้อมาตุนไว้เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว และคาดว่าปีนี้หิมะคงจะตกหนักกว่าทุกปี อีกทั้งหมู่บ้านเฉียวเฮยนั้นก็ใกล้กับภูเขายิ่งนัก ทำให้นอกจากหาซื้อเครื่องปรุงแล้ว มารดาของนางยังต้องหาซื้อผ้าเนื้อหยาบมาไว้ตัดชุดกันหนาวให้ทุกคนอีกด้วย ดีที่วันก่อนท่านพ่อและพี่ใหญ่ทำหลุมพรางดักสัตว์ได้ จึงทำให้ได้หมูป่าขนาดเล็กไปขายด้วย ในวันนี้จึงมีเพียงนางกับท่านพ่อและพี่รองของนางเท่านั้น ที่ขึ้นเขามาหาสมุนไพร แต่ตอนนี้ท่านพ่อของนางกำลังไปตรวจดูหลุมพรางดักสัตว์ที่ทำไว้เมื่อตอนขามา อีกทั้งพี่รองของนางก็เดินเรื่อยขึ้นไปทางเหนือ เพราะเขาบอกว่าป่าแถวนั้นดูทึบดีน่าจะมีสมุนไพรหายากเกิดอยู่ จึงได้ปล่อยให้นางนั่งรออยู่ริมธารน้ำนี่ ไม่ก็เดินกลับไปหาท่านพ่อ เพราะไม่กล้าให้นางเข้าไปในแถมนั้นด้วย ทว่าตอนนี้คนที่หลีหยางสั่งให้นั่งรอ ไม่ก็เดินกลับไปหาหลีหยุนผู้เป็นบิดา กำลังเดินลงน้ำด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ! แม้จะเด็กอย่างไร แต่จิตวิญญาณข้างในของนางก็คือหญิงสาววัยยี่สิบห้า ฉะนั้นคำว่ายอมแพ้และถอดใจทิ้งเจ้าต้นหงลู่ต้นนั้นไว้เบื้องหลังจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำ หลีเริ่นหรานมัดเอวเล็กๆ ของตนเองด้วยเถาวัลย์เครือใหญ่ เครือเดียวกับที่ปลายอีกด้านมัดต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นไว้อยู่ เด็กน้อยถอดรองเท้าไว้ด้านข้างพร้อมเสื้อคลุมตัวนอก ก่อนจะค่อยๆ เดินลงไปในธารน้ำอย่างช้าๆ คราแรกที่เท้าโดนน้ำนางก็แทบสะดุ้ง ด้วยน้ำในธารนั้นเย็นนัก ราวกับน้ำนี่ถูกแช่ในตู้เย็นที่มีอยู่ในโลกก่อนไม่ผิด เมื่อเดินไปถึงกลางธารน้ำแล้วระดับน้ำยังอยู่ที่เอวของนาง หลีเริ่นหรานก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง และเมื่อมองไปยังเครือเถาวัลย์ที่กองอยู่ริมสระ ก็พบว่ายังเหลืออยู่อีกยาวเฟื้อยที่ยังไม่ได้ถูกดึงลงมาในน้ำ ร่างน้อยดีใจยังไม่ทันสุด ก็ต้องชะงักกึก พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อขาข้างหนึ่งที่ก้าวไปข้างหน้าแล้วไม่พบพื้นดินด้านล่างอย่างเคย ฉับพลันเสี้ยววินาทีนั้น ระดับน้ำก็ขึ้นสูงมาอยู่ที่อกของนาง! แม้จะตกอกตกใจแค่ไหน แต่ร่างน้อยก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ ด้วยไม่ใช่คุณหนูในห้องเฉกเช่นคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในชาตินี้หรือชาติก่อน... ทว่าเมื่อตั้งตัวได้ ขาอีกข้างก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลีเริ่นหรานใช้ปลายเท้าน้อยคลำทาง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเหยียบลงไป และเมื่อระดับน้ำไม่ได้ขยับขึ้นเหนือจากอก ร่างบางจึงได้ค่อยก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เมื่อเลยช่วงกลางธารน้ำมาแล้วระดับน้ำก็ค่อยๆ ตื้นขึ้นจากลึกสุดที่ระดับคอ ลงมาอยู่ที่อก และช่วงเอวตามลำดับ กระทั่งหลีเริ่นหรานเดินมาถึงบริเวณฝั่งตลิ่งที่มีต้นหงลู่ปรากฏอยู่หน้า มือน้อยๆ ก็รีบคว้าเจ้าสมุนไพรมากค่านั้นมาไว้ในมือโดยเร็ว “หึ! นี่คือโทษของเจ้าที่กล้าเปล่งประกายเล่นแสงอาทิตย์ท้าทายข้า!” เด็กน้อยเอ่ยออกมาราวกับแค้นใจต้นหงลู่นักหนา ก่อนจะรีบนำพาตัวเองกลับไปยังอีกฝั่งโดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ แม้ชาติก่อนนางจะเป็นคนขี้ร้อนแค่ไหน แต่ตอนนี้นางก็ยังเป็นเพียงเด็กวัยห้าขวบ แม้จิตใจจะทนทานต่อความเย็นของสายน้ำได้ ทว่าร่างกายของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งเค่อ ร่างเล็กชุ่มน้ำของหลีเริ่นหรานก็ขึ้นมาบนฝั่งอย่างปลอดภัย ความจริงแล้วในชาติก่อนนั้นเธอเป็นคนที่ว่ายน้ำเป็น ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยเป็นตัวแทนนักกีฬาว่ายน้ำของงานสีอยู่ถึงสองปี และมักจะติดหนึ่งในสามเสมอ แม้สมองจะไม่ลืมวิธีว่ายน้ำ แต่ร่างกายเธอกลับสวนทางกับสมอง ก่อนลงมือเดินข้ามไปยังฝั่งนู้นโดยใช้วิธีผูกเถาวัลย์กับตัวเองและผู้ปลายอีกด้านกับต้นไม้ใหญ่ หลีเริ่นหรานก็ลองคิดหาวิธีอื่นดูแล้ว ทว่ามันกลับไม่มีเหตุผลรองรับ ว่าเด็กน้อยวัยห้าขวบที่ตัวเล็กแถมยังสั้นป้อมอย่างนาง จะสามารถว่ายน้ำไปเอาต้นหงลู่ได้อย่างไร อีกทั้งก่อนหน้านี้นางก็ไม่รู้ว่าหลีเริ่นหรานคนเดิมนั้นว่ายน้ำเป็นหรือไม่ หากตอบออกไปว่านางว่ายน้ำไปเก็บต้นหงลู่มา แล้วคนในครอบครัวถามกลับมาว่านางว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร ถึงตอนนั้นนางก็คงอับจนปัญญาที่จะหาคำตอบมาให้พวกเขา เช่นนั้นวิธีที่โง่ที่สุดที่นางคิดได้ จึงกลายเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยนางก็ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามใครทีหลัง เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อย หลีเริ่นหรานก็เก็บเอาเสื้อคลุมและรองเท้า ตั้งใจจะเดินไปหาผู้เป็นบิดายังจุดวางกับดักสัตว์ ทว่าหลีหยางพี่ชายคนรองก็เดินมาถึงตัวนางเสียก่อน “หรานเอ๋อร์!” หลีหยางร้องเรียกน้องสาวด้วยความร้อนใจ ตอนแรกเขานั้นคิดว่าน้องสาวจะเดินกลับไปหาบิดาตั้งแต่ที่เขาบอกนางก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้าไปสำรวจป่าทางด้านเหนือ ขากลับออกมาเขาจึงได้เดินเลาะไปอีกทาง แล้วก็เจอกับบิดาที่กำลังจัดการกับกระต่ายป่าที่ดักได้โดยบังเอิญ ทว่าข้างกายบิดากลับไร้เงาของน้องสาว ครั้นสอบถามบิดาจนได้ความ ทั้งเขาและบิดาต่างก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าหลีเริ่นหรานจะหลงป่า เขาจึงได้เดินกลับมาดูที่แถวๆ ธารน้ำ โชคดีที่นางยังอยู่ตรงนี้ ทว่า...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD