เพราะใจที่ไม่อาจยับยั้งความสงสัยได้อีกครั้ง นิ้วมือเล็กๆจึงได้ทับทาบไปตรงช่วงอกของพญานกตัวใหญ่ และเมื่อเห็นว่าก้อนเนื้อใต้ฝ่ามือตัวเองนั้นยังเต้นอยู่ ร่างเล็กจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดียิ่งที่เจ้านกใหญ่ตัวนี้ยังไม่ตาย แต่จะดีจริงหรือเพราะถ้ามันยังไม่ตายนางจะเอามันกลับบ้านได้อย่างไร?
ไหนๆ วันนี้ทั้งวันนางก็หาสมุนไพรได้เพียงหยิบมือ เมื่อมาเจอสัตว์ใหญ่เช่นนี้จึงถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยนางและครอบครัวก็จะได้มีเนื้อกิน แม้จะไม่ได้สมุนไพรไปขายแลกเงินก็ตาม
แต่ปัญหาก็ติดอยู่ตรงที่เจ้านกใหญ่ตัวนี้ยังไม่ตาย มันแค่หายใจรวยรินเท่านั้น หากว่าจะพามันกลับไปคงต้องมัดมันให้ดี หรือไม่ก็ต้องทำให้มันตายสนิทเสียก่อน
แต่นางไม่เคยฆ่าสัตว์มาก่อนเลยสักครั้ง ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้...
ขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกกับร่างนกยักษ์ตรงหน้า สายตาก็มองไปเห็นไม้พุ่มเตี้ยใบมันวาวมีดอกสีเหลือง หลีเริ่นหรานจำได้ว่านางเคยเจอต้นไม้ชนิดนี้แล้วก่อนหน้าจะขึ้นมายังป่าชั้นนี้
หรือว่ามันจะเป็นสมุนไพรจริงๆ?
คิดได้ดังนั้นมือป้อมๆ ของนางจึงจัดการเด็ดต้นไม้ชนิดนั้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะใช้อีกมือจับขาของเจ้านกอินทรีดำตัวใหญ่ แล้วออกแรงลากมันไปหาท่านพ่อที่กำลังขุดหัวมันป่าอยู่
ครั้งนี้นางเดิมพันชีวิตนกอินทรีที่ลมหายใจรวยรินตัวนี้ด้วยพืชที่นางไม่รู้จัก หากว่ามันเป็นสมุนไพรที่ขายได้ ชีวิตของนกยักษ์ตัวนี้ก็รอด เพราะนางไม่ปรารถนาจะพรากชีวิตใคร และหากนางเลือกได้ นางก็ไม่อยากให้คนในครอบครัวคนใด ลงมือสังหารสัตว์ใหญ่ตัวนี้
แต่หากว่าพืชต้นนี้เป็นเพียงต้นหญ้าไร้ค่า นางก็คงทำได้เพียงแผ่เมตตาให้มัน เพราะถ้าให้เลือกระหว่างปากท้องกับชีวิตอินทรีดำตัวนี้ นางต้องเลือกปากท้องของตัวเองและครอบครัวอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ!” เสียงเล็กเอ่ยเรียกบิดาที่ตั้งหน้าตั้งตาขุดหัวมันป่าอยู่อย่างตั้งใจ
“หรานเอ๋อร์...เอ๊ะ! นั้นเจ้าลากตัวอะไรมา?” หลีหยุนรุดกายเข้ามาหาบุตรสาวอย่างไว เมื่อเห็นบุตรสาวลากสัตว์สีดำตัวหนึ่งมา
“นะ..นกเจ้าค่ะ” เริ่นหรานเอ่ยตอบพร้อมอาการเหนื่อยหอบ ร่างกายของนางนี้ยังเล็กนัก ทั้งยังเพิ่งฟื้นจากการนอนหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่นาน ทำให้ร่างกายและกล้ามเนื้อพลอยอ่อนแรงไปด้วย เห็นทีว่านางคงต้องออกกำลังกายมากขึ้นเสียแล้ว
“นกรึ?”
หลีหยุนมองไปยังนกยักษ์ที่บุตรสาวเพิ่มลากมา ก่อนจะควานหาร่องรอยการถูกล่า หรือรอยของอาวุธดักสัตว์ของนางพราน ทว่ากลับไม่พบ และเมื่อตรวจดูตรงจุดใต้ซี่โครงก็พบว่านกยักษ์ตัวนี้ยังไม่ตาย แต่นกอินทรีนี้ไม่ใช่สัตว์ที่จะถูกล่าได้โดยง่าย ทั้งยังเป็นอินทรีนิลสีดำสนิท ขนปีกหรือก็เงางามวาววับยิ่งนักยามต้องแสงแดด ไม่แน่ว่าอินทรีตัวนี้อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงของคนใหญ่คนโตมีอำนาจหรือคหบดีร่ำรวยก็เป็นได้
“ท่านพ่อ...เราเอามันกลับไปด้วยได้หรือไม่” หลีเริ่นหรานเอ่ยถามบิดา เพราะแน่นอนว่าท่านต้องเป็นคนแบกมันกลับไป
“เอากลับไปรึ?” แม้จะสงสัยในที่มาที่ไปของสัตว์ตัวนี้ ทว่าฐานะของเขาและครอบครัวตอนนี้ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อีกอย่างนกตัวนี้ก็มาหมดสติอยู่กลางป่า ต่อให้เขาปล่อยมันไว้ นายพรานคนอื่นหรือชาวบ้านคนอื่นที่มาพบก็ต้องนำมันกลับไปด้วยอยู่ดี
“เจ้าคะ เราเอามันกลับไป ถ้ามันยังไม่ตาย เราก็ให้พี่รองช่วยชีวิตมันเถิดเจ้าค่ะ” แต่ถ้าช่วยแล้วมันไม่รอด มันก็ต้องเป็นอาหารของเรา หลีเริ่นหรานตั้งใจสร้างทั้งบุญ ทำทั้งบาปในเวลาเดียวกัน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพ่อจะแบกมันกลับไปเอง แล้วนั่นเจ้าเก็บต้นอะไรมา?” หลีหยุนเอ่ยถามบุตรสาว เมื่อเห็นว่ามืออีกข้างของเจ้าตัวน้อยยังกำพืชชนิดหนึ่งอยู่
“ลูกไม่รู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด เมื่อเช้าลูกก็เจอมันตอนก่อนที่เราจะพักเอาแรงกัน ลูกถามพี่ใหญ่พี่ใหญ่ก็ไม่รู้ว่ามันคือพืชชนิดใด ลูกเลยคิดว่าจะเก็บเอาไปถามพี่รองเจ้าค่ะ”
หลีหยุนพยักหน้ารับ เป็นความจริงที่ว่าบุตรชายคนรองของเขานั้นมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่ไม่น้อย เพราะหลีหยางนั้นสนใจเรื่องสมุนไพรและการแพทย์มาตั้งแต่เด็ก สองปีก่อนเขาจึงให้บุตรชายคนรองไปศึกษาเรื่องสมุนไพรกับหมอหลวงอยู่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าหากไม่เกิดเรื่องเลวร้ายนั่น หลีหยางของเขาอาจจะเลือกศึกษาวิชาแพทย์แล้วเป็นหมอในอนาคตก็เป็นได้
และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าหลีหยางได้ลองรักษาสัตว์สักตัว ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีหนทางให้เขาได้เป็นหมอจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุนบุตรชายก็ตาม
ตกลงกันได้เช่นนั้นหลีหยุนจึงร้องเรียกบุตรชายคนโตและคนเล็กให้มารวมตัวกัน ก่อนจะพากันลงจากเขาในที่สุด เพื่อไม่ให้ถึงบ้านมืดค่ำจนเกินไป
“อะไรนะ! พวกเจ้าหาจอมมารไม่พบอย่างนั่นรึ!?”
มือขวาคนสนิทของจอมมารเอ่ยขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ เมื่อรู้ข่าวจากปากองครักษ์นายหนึ่งว่าจอมมารได้หายสาบสูญไปในขณะที่กำลังบำเพ็ญจิต เพื่อทะลุสู่ขั้นสุดท้ายของการบำเพ็ญ
การบำเพ็ญจิตขั้นสุดท้ายนั้นนับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเริ่มบำเพ็ญทุกอย่างรอบกายก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งไป มีเพียงผู้บำเพ็ญเท่านั้นที่จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเคลื่อนไหวอยู่ กระทั่งการบำเพ็ญดำเนินไปได้ถึงช่วงกลาง ร่างกายของผู้บำเพ็ญก็จะค่อยๆ กลายร่างเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ด้วยความเชื่อที่ว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเพียงกายหยาบ อีกทั้งยังเกิดจากการรังสรรค์จากเบื้องบน หาใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติไม่ ฉะนั้นการจะสำเร็จการบำเพ็ญขั้นสุดได้นั้น ผู้บำเพ็ญจะต้องละหรือสละซึ่งกายหยาบเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าสู้เนื้อแท้กายจริงของตนได้
ทว่าเนื้อแท้กายจริงของตนจะเป็นอะไรนั้น ก็ล้วนแล้วแต่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตเราผูกพันห่วงหามากที่สุด บ้างก็ว่าขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรานึกถึงหรือตั้งใจอยากจะเป็น
ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อสงสัยนี้ยังเป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอย เพราะทั่วทั้งแผ่นดินผืนฟ้านี้ ยังไม่มีใครเคยบำเพ็ญจิตถึงขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นจอมมารองค์ก่อนหรือแม้แต่ประมุขสวรรค์คนปัจจุบันก็ตาม
“พวกเจ้าหาทั่วแล้วหรือยัง?” มือขวาของจอมมารยังซักถามเหล่าองครักษ์ต่อ ไม่แน่ว่าจอมมารนั้นอาจสำเร็จการบำเพ็ญจิตขั้นสุดแล้ว และกลับกลายร่างเป็นกายจริงแล้ว โดยที่เหล่าองครักษ์เองก็จำไม่ได้
“ข้าจะไปตามหาจอมมารเอง เจ้าดูแลทุกอย่างอยู่ที่นี่เถิด” เสียงพูดแผ่วเบาแต่หนักแน่นเรียกให้มือขวาของจอมมารคนปัจจุบันหันกลับไปมองยังซ้ายมือของตนเอง
“ได้ ถ้าเช่นนั้นระวังตัวด้วย” เมื่อได้มือซ้ายของจอมมารไปตามหาจอมมารด้วยตัวเอง มือขวาอย่าเขาก็เบาใจไปได้หนึ่งส่วน
บนโลกมารแห่งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นจอมมาร หากไม่มีจอมมารแล้ว สิ่งอื่นใดในโลกมารล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
“พี่รอง พี่รองรักษามันได้ไหมเจ้าคะ”
หลีเริ่นหรานเอ่ยถามพี่ชายคนรองทันทีที่ร่างของนกยักษ์สีดำถูกบิดาวางลงตรงพื้นลานด้านหน้า หลีหยางเดินก้าวเท้าเข้ามาดูสิ่งนั้นด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดว่าบิดาและเหล่าน้องๆ ที่ขึ้นเขาวันนี้จะได้เจ้านกอินทรีตัวใหญ่นี้มาด้วย
“พี่ไม่เคยรักษาสิ่งมีชีวิตใดเลยนะหลานเอ๋อร์”
หลีหยางตอบตามความเป็นจริง แม้ว่าตัวเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนอยู่บ้าง และถึงแม้จะเคยเป็นลูกมือหมอหลวงในวังรักษาคน แต่เขาก็ไม่เคยรักษาด้วยตนเองมาก่อน
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะตัวเขานั้นยังไม่รู้ว่าตนมีพลังปราณต้นกำเนิดเป็นธาตุปราณโอสถหรือไม่ จึงทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ อีกทั้งความรู้ที่มีก็ยังเรียกตนเองว่าเป็นหมอไม่ได้ เขามีแค่เพียงวิชาความรู้เรื่องสมุนไพรเท่านั้น
โดยปกติคนหนึ่งคนจะมีพลังปราณติดตัวมาแต่กำเนิดคนละหนึ่งธาตุ ซึ่งส่วนมากจะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออายุครบสิบขวบปี ทว่าตัวเขาเองก็เพิ่งอายุเก้าขวบ ยังอีกหลายเดือนกว่าจะเต็มสิบ ฉะนั้นการรักษาอินทรีดำตัวนี้จึงเป็นเรื่องที่ยังถือว่าไกลตัวนัก
“ลองดูก็ไม่ได้หรือเจ้าคะพี่รอง” เด็กหญิงตัวน้อยทำแก้มป่อง ก่อนจะล้วงเอาต้นพืชที่ตนเก็บมาด้วยในย่ามออกมาให้ผู้เป็นพี่ชายดู
“หรานเอ๋อร์! เจ้าไปเอาต้นนี้มาจากที่ใด?” หลีหยางเอ่ยถามน้องสาวด้วยความตื่นเต้น
“หรานเอ๋อร์เจอมันตอนขึ้นไปบนเขาคะ ตอนแรกเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นต้นอะไรจึงไม่ได้เก็บมา แต่พอหรานเอ๋อร์มาเจอเจ้านกตัวนี้ อีกทั้งยังเจอเจ้าต้นนี้อีกต้น หรานเอ๋อร์ก็เลยเก็บมาให้พี่รองดูว่ามันเป็นต้นอะไรเจ้าคะ”
หลีเริ่นหรานตอบเสียยืดยาว ทว่านางก็ไม่ได้บอกออกไปว่าที่ตัดสินใจเก็บต้นที่ไม่รู้จักชื่อนี้มา เป็นเพราะว่านางสังเกตเห็นแมลงตัวเล็กบินเกาะอยู่ตามใบของเจ้าต้นนี้ อีกทั้งที่ใบยังรอยถูกแมลงกัดกิน แสดงว่าต้นนี้น่าจะเป็นพืชอะไรสักอย่าง และไม่มีอันตรายต่อสัตว์
“อาหยาง น้องเจ้าเก็บต้นอะไรมารึ” ฟังบุตรสาวบุตรชายคุยกันอยู่นานแต่ไม่ได้ข้อสรุปสักเรื่อง หลีหยุนจึงได้เอ่ยปากถามบ้าง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นเดียวกันว่ามันคือต้นอะไร
“มันคือต้นหวงเซ่อขอรับท่านพ่อ”
“ต้นหวงเซ่อรึ?”
หลีหยางพยักหน้ารับ ก่อนจะอธิบายให่บิดาและน้องสาวฟังถึงสรรพคุณของต้นหวงเซ่อ
“ต้นหวงเซ่อนั้นจัดเป็นสมุนไพรหายาก ลำต้นและใบใช้ทำยาบำรุงกำลัง ทว่าดอกสีเหลืองอ่อนของมันกลับมีพิษเป็นยาสลบอ่อนๆ”
“แล้วมันขายได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม...มันขายได้ ได้ราคาดีกว่าสมุนไพรธรรมดาที่เราเก็บไปขายอยู่บ้าง”
หลีเริ่นหรานยิ้มกว้าง นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่นางอยากรู้ ขอแค่อะไรที่ขายได้เป็นเงินได้ที่สามารถทำให้ครอบครัวเธอสุขสบายนั่นต่างหากที่สำคัญกับนาง
“แล้วอินทรีดำตัวนี้เล่า พวกเราจะทำเช่นไร” หลีหลุนเอ่ยถามถึงเจ้านกยักษ์ที่ดูคล้ายจะกลายเป็นตัวปัญหาแล้วในตอนนี้
ทุกสายตามองไปยังร่างของอินทรีดำที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้น จากนั้นก็พลันเงยหน้ามองกัน และหัวเราะออกมาโดยมิได้นัดหมาย
“ท่านพ่อ” หลีเริ่นหรานเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของบิดาที่นั่งอยู่ด้วยกิริยาออดอ้อน
“ว่าอย่างไรหรานเอ๋อร์ของพ่อ” หลีหยุนโอบกอดบุตรสาวคนเดียวเข้ามาในอ้อมกอด การกระทำนั้นทำให้เด็กกำพร้าอย่างลลิลรู้สึกอุ่นซ่านไปถึงขั้วหัวใจ การมีครอบครัวคอยดูแลปกป้องมันดีเช่นนี้เอง
“เรารักษาเจ้านกยักษ์ตัวนี้ไว้เถอะเจ้าคะ”
“รักษาอย่างไรเล่า? พี่รองของเจ้าก็บอกอยู่มิใช่รึว่าเขาไม่เคยรักษาสิ่งมีชีวิตใด”
หลีเริ่นหรานเม้มปาก อย่างไรเสียนางก็ต้องทำตามที่ตนตั้งใจไว้ให้ได้ ในเมื่อสมุนไพรหวงเซ่อขายได้ นางก็ต้องละเว้นชีวิตของเจ้าอินทรีดำตัวนี้ไว้ แม้ลึกๆจะแอบเสียดายที่จะไม่ได้กินเนื้อก็ตาม
“ท่านพ่อ ลำพังตัวมันเองก็หายใจรวยรินนัก เราไม่ฆ่ามันมันก็จะตายเองอยู่แล้ว ลูกว่าเราเก็บมันไว้ในเรือนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ หากมันไม่ฟื้นหรือตายเองแล้ว เราค่อยนำมันมาเป็นอาหารก็ยังได้”
มือเล็กๆ เอื้อมไปกอดคอบิดาอย่างต้องการออดอ้อนหนักกว่าเก่า ด้านหลีหลุนนั้นก็มองน้องสาวยิ้มๆ แม้หรานเอ๋อร์จะมีความเอาแต่ใจอยู่บ้าง ทว่านางก็ยังมีจิตใจเอื้ออารี
“เช่นนั้นพี่รองจะลองรักษามันดู เจ้าว่าดีหรือไม่หรานเอ๋อร์” หลีหยางเอ่ยขึ้นอย่างต้องการเอาใจน้องสาว ทั้งยังนับเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองวิชาที่มีติดตัว
“เช่นนั้นก็อดกินเนื้อนกย่างใช่หรือไม่?”
หลีเฉิงเอ่ยปากอย่างเสียดาย ไม่ง่ายเลยที่จะได้กินเนื้อนกอินทรีตัวใหญ่เช่นนี้ หากย่างให้เหลืองกรอบแล้วคงอร่อยน่าดู
“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างตะกละจริงๆ อาเฉิง”
แล้วทุกคนในครอบครัวก็ต่างพากันหัวเราะในความตะกละของหลีเฉิง ทว่าหลีเริ่นหรานกลับเดินออกจากอ้อมแขนบิดา แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลีเฉิง
“พี่สาม เอาไว้คราวหน้าข้าจะหาเนื้อมาให้พี่ย่างกินใหม่นะเจ้าคะ หรือไม่ข้าก็จะหาสมุนไพรให้ได้เยอะๆ แล้วเอาเงินไปซื้อมาให้พวกเราได้กิน แต่ครั้งนี้ไว้ชีวิตมันเถอะนะเจ้าคะ”
คนถูกน้องสาวปลอบรู้สึกผิดทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ทั้งยังเป็นพี่ แต่กลับต้องให้น้องสาวที่อ่อนวัยกว่ากล่าวปลอบประโลม ทั้งยังรับปากว่าจะหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อซื้อเนื้อมาให้เขากินอีก
“พี่แค่พูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ถ้าหรานเอ๋อร์อยากช่วยชีวิตมันก็ตามใจเจ้าเถิด” หลีเฉิงเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “อีกอย่าง พี่จะเป็นคนหาเงินซื้อเนื้อมาให้เจ้ากินเอง”
หลีเริ่นหรานยิ้มหวานให้พี่ชาย ก่อนจะโผกอดอีกฝ่ายแน่น แม้จะเป็นเพียงคำพูดของเด็กชายวัยเจ็ดขวบ ทว่าในความรู้สึกของคนที่ไร้ครอบครัวมาก่อนอย่างลลิล คำพูดนั้นของเขาช่างอบอุ่นยิ่งนัก
หรือแท้จริงแล้วภพชาตินี้ต่างหากที่เป็นของเธอจริงๆ.........
ผ่านมาแล้วสิบกว่าวัน หลังจากวันที่หลีเริ่นหรานขอให้พี่รองช่วยชีวิตนกอินทรีดำตัวนั้น จนป่านนี้เจ้านักยักษ์นั่นก็ยังไม่ฟื้น แต่ก็ยังไม่ตาย คล้ายกลับว่ามันกำลังนอนหลับไม่รู้ตื่นอยู่เพียงเท่านั้น
ตั้งแต่ที่รู้ว่าต้นไม้ดอกสีเหลืองที่เห็นคือสมุนไพรหวงเซ่อ หนึ่งต้นขายได้หนึ่งตำลึง หลีเริ่นหรานก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก หลังจากนั้นมานางก็มักจะขึ้นเขาไปกับท่านพ่อและพี่ชายอยู่เสมอ เพื่อหาต้นหวงเซ่อมาขาย แต่ที่น่าแปลกคือ นองจากนางและพี่รองแล้ว ก็ไม่มีใครหาต้นหวงเซ่อพอเลย ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือพี่ใหญ่ ส่วนพี่สามของนางนั้นไม่ต้องกล่าวถึง
หลีเฉิงไม่มีความรู้ด้านสมุนไพรเลยสักนิด ทั้งยังไม่อาจจดจำได้ ต่างจากเวลาที่พี่ใหญ่สอนให้เขาดักสัตว์จับปลา หลีเฉิงกลับดูเพียงครั้งเดียวแล้วก็จดจำได้น่าทึ่ง
ทุกคนจึงพากันคาดเดาว่าในอีกสามปีข้างหน้า หลีเฉิงอาจจะมีพลังธาตุต้นกำเนิดเป็นปราณธาตุปฐพี เช่นเดียวกันกับพี่ใหญ่
และสำหรับพี่รองทุกคนต่างก็พากันเทใจไปหมดหน้าตักแล้วว่า เขานั้นน่าจะมีพลังธาตุต้นกำเนิดเป็นปราณธาตุโอสถ แม้ว่าพี่รองของนางจะยังรักษาเจ้านกยักษ์ตัวนั้นไม่ได้ก็ตาม
ส่วนหลีเริ่นหราน เรื่องพลังธาตุต้นกำเนิดนั้นยังถือว่าไกลตัว ตอนนี้นางมีอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น เหลือเวลาที่ต้องรอคอยอีกห้าปี กว่าจะรู้ว่าตนเองนั้นมีพลังธาตุกำเนิดชนิดใด
ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนาง เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าการได้รู้ถึงพลังธาตุต้นกำเนิดก็คือปากท้อง!
เพราะนอกจากขึ้นเขาเก็บสมุนไพรมาขายแล้ว หลีเริ่นหรานก็ยังเรียนรู้การปักผ้าจากมารดา เรียกได้ว่าถ้าวันใดไม่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร นางก็จะปักผ้าเช็ดหน้าอยู่บ้านกับมารดา ซ้ำฝีมือการปักยังรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว จนคนในครอบครัวต่างพากันตกตะลึง ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวนางเอง ถึงจะยังปักได้แค่ลายง่ายๆ พื้นฐานและขายได้เพียงผืนละสิบอีแปะ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ครอบครัวของนางมีรายรับเพิ่มมากขึ้น
“นี่เจ้านกน้อย...วันนี้หรานเอ๋อร์จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรนะ เจ้าก็อยู่ในห้องดีๆ ล่ะ เดี๋ยวหรานเอ๋อร์กลับมา” หลีเริ่นหรานเอ่ยเบาๆ พร้อมลูบหัวเจ้านกยักษ์ที่กำลังหลับสนิทอยู่สองสามที ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ด้วยความที่เจ้านกอินทรีนี้ไม่ฟื้นเสียที หลีเริ่นหรานจึงได้พามันมานอนไว้ที่ห้องนอนของตนเอง ทั้งยังห่มผ้าให้อย่างดี เสมือนเป็นตุ๊กตาประดับเตียงตัวหนึ่งเหมือนในชาติก่อน ที่เตียงนอนของนางล้วนเต็มไปด้วยบรรดาตุ๊กตาสัตว์น้อยใหญ่ แม้อายุจะเลยวัยเล่นตุ๊กตาแล้วก็ตาม
เจ้านกน้อย?......
หรานเอ๋อร์?.......
คล้อยหลังร่างเล็กของผู้เป็นเจ้าของห้อง หนังตาสีดำของเจ้านกน้อยที่หลีเริ่นหรานเรียกก็พลันลืมตาตื่น สองปีกของมันขยับพึบๆ ก่อนจะพาร่างออกจากผ้าห่มที่เด็กน้อยห่มให้ก่อนไป
ความจริงมันนั้นรู้สึกตัวตั้งแต่กลางดึงของเมื่อคืนนี้แล้ว ทว่าแขนเล็กๆ ที่ก่ายกอดมันไว้ใต้ผ้าห่มทำอย่างแน่นหนาและอบอุ่นไปพร้อมกัน ทำให้มันไม่กล้าขยับตัว ทั้งรอบกายยังปกคลุมไปด้วยความมืด มันจึงตัดสินใจหลับต่อ และมาตื่นเอาอีกทีตอนได้ยินเด็กน้อยเจ้าของห้องเอ่ยลาก่อนออกจากห้องไป
กลิ่นอายเทพเซียน.....