ดวงแก้วสีน้ำตาลจดจ้องลำแสงที่ส่องลงมา มือนางพยายามไขว่คว้าทุกสิ่ง เพื่อจะไปให้ถึงยังความอบอุ่นเบื้องบน อาภรณ์ที่สวมช่างหนักเหลือเกิน ร่างบาง จึงยิ่งจมดิ่ง ความหนาวเหน็บจู่โจมทุกอณูของร่างกาย ทุกครั้งที่เผยอริมฝีปาก เพื่อสูดอากาศกลับมีเพียงของเหลวไหลเข้าไปแทนที่
ทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน
เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนราง
ข้ากำลังจะตายงั้นรึ
ท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา...
แค่ก แค่ก แค่ก!
หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อย
เมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณ
นัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”
หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ในที่สุดร่างที่ต้องผจญกับความหนาวเหน็บก็สลบไสลในอ้อมแขนของชายผู้นั้น
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนจาง ลมกลางคืนสายหนึ่งพัดกลิ่นดอกเหมยกุ้ย[1] เข้ามา ทางหน้าต่าง
แพขนตาหนากระเพื่อมไหว เปลือกตาของหลี่จื่อเหยาเปิดขึ้น นางกะพริบตาช้าๆ ดวงแก้วสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนังห้อง ท่ามกลางแสงนวลจากเทียนไขปรากฏภาพอันคุ้นเคย
ใช่...นี่คือห้องของนาง ในบ้านตระกูลหลี่
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
หลี่จื่อเหยามองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้คนสนิทริมฝีปาก ขาดสีเลือดก็ขยับยิ้ม “เสี่ยวจู”
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“น้ำ ขอน้ำกินหน่อย” เสี่ยวจูประคองหลี่จื่อเหยาให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบถ้วยกระเบื้อง ที่บรรจุน้ำอยู่เต็มแล้วป้อนให้นายหญิงของตน
เมื่อน้ำสัมผัสริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ความรู้สึกกระหายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลี่จื่อเหยาดื่มน้ำอีกอึกใหญ่อย่างรวดเร็วจนเสี่ยวจูต้องเอ่ยเตือน ด้วยเกรงว่านายหญิงของตนจะสำลัก
ความทรมานจากความกระหายสิ้นไปแล้ว หลี่จื่อเหยาจึงค่อยๆ ทบทวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางจำได้ว่ากำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปซื้อเครื่องประทินผิว ระหว่างข้ามสะพานก็มีอาชาตัวใหญ่ตะบึงเข้ามา ด้วยความตกใจจึงรีบเบี่ยงกายหลบจนพลัดตกลงไปในคูเมือง ความรู้สึกหวาดหวั่นยามสายธารอันหนาวเหน็บโอบล้อมนางเอาไว้ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางพลันสั่นเทา นางกลัวเหลือเกิน และในขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางก็พบว่าตนเองได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“เสี่ยวจู ผู้มีพระคุณของข้าเล่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“พอคุณหนูหมดสติ คุณชายท่านนั้นก็ช่วยพาคุณหนูกลับมาส่งแล้วรีบจากไป นายท่านยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้ารู้ชื่อแซ่ของเขาหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาคือผู้มีพระคุณของข้า แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะไต่ถามนามของเขาเลยหรือ”
“คุณชายคนนั้นไปมาราวกับสายลม นายท่านยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าค่ะ”
“เขาช่วยไม่ให้ข้าไปเยี่ยมชมน้ำพุเหลืองก่อนวัยอันควร บุญคุณใหญ่หลวงย่อมต้องทดแทน เสี่ยวจู พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายท่านนั้นเป็นผู้ใด คงมีคนที่เห็นเหตุการณ์รู้จักเขาบ้างกระมัง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันที”
หลังจากกำชับกำชาสาวใช้ของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเหยาก็เอนกายลงบนฟูกแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยว จูรีบออกไปสืบหาผู้มีพระคุณของนายหญิงตั้งแต่เช้าตรู่ นางเที่ยวสอบถามคนที่อยู่แถวสะพานนั้นหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักบุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ช่วยคุณหนูตระกูลหลี่จากเงื้อมมือมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดสาวใช้ผู้เหน็ดเหนื่อยก็ยอมแพ้ แล้วกลับมารายงานไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้ทำให้หลี่จื่อเหยารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ภาพใบหน้าหล่อเหลากับดวงแก้วสีดำดุจน้ำหมึกนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของนาง
‘คุณชายท่านคือผู้ใดกัน ข้าจะหาตัวท่านพบได้อย่างไร’
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังเหม่อลอย เสี่ยวจูก็เปรยบางอย่างขึ้นมา “ตามความเห็นของบ่าว ชายผู้นั้นคงไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกชื่อแซ่”
“หืม เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่าเสี่ยวจู เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ยังต้องรับผิดชอบสิ่งใดอีก”
เสี่ยวจูช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่ออกมาด้วยท่าทีเคืองๆ
“ก็เขาทั้งกอดทั้งจูบคุณหนูต่อหน้าคนตั้งมากมาย หนำซ้ำยังอุ้มท่านด้วย”
“อะไรนะ!” นัยน์ตาดอกท้อพลันเบิกกว้าง หลี่จื่อเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ “เขาน่ะหรือ จะ...จูบข้า”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ป่านนี้คนคงลือไปทั่วแล้ว”
ชายหญิงห้ามใกล้ชิด นี่นางถูกชายแปลกหน้าทั้งกอดทั้งจูบ หลี่จื่อเหยา เอามือกุมขมับ ยามนี้ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่แล้ว
ทว่าหลายวันผ่านไปกลับไม่มีข่าวลือน่าอายดั่งที่หลี่จื่อเหยาคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก นางถูกบุรุษกอดจูบต่อหน้าธารกำนัล ความจริงต้องเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ทุกคนในบริเวณนั้นทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้ เกิดขึ้น
‘แปลกประหลาดยิ่งนัก’
หลี่จื่อเหยาได้แต่กังขา หรือว่าคุณชายผู้นั้นจะเป็นพวกมีอิทธิพล มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลึกลับ หนำซ้ำยังสามารถปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมดอีกด้วย
หากจะกล่าวกันตามจริง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองมากกว่าของนางเสียอีก
ถ้าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจจริง นางย่อมไม่มีทางได้พบใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกถ้าหากเขาไม่ต้องการ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตน ความหวังย่อมเลือนราง หลี่จื่อเหยาหมดแรง นางแทบจะล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขาในทันที แต่บุญคุณในครั้งนี้นางจะจดจำเอาไว้ไม่มีวัน ลืมเลือนอย่างแน่นอน
‘หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบกับท่านอีก และเมื่อถึงเวลานั้นข้าหลี่จื่อเหยายินดีทดแทนบุญคุณ’
[1] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ