ตอนที่1 วิกฤตของตระกูลหลี่

1066 Words
โครม! เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ “บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล “เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด” เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้ “ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี” “พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ” “เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่” ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน “ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่ยวกับเรื่องการค้า ก็คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร” “อย่างไรเสียระหว่างนี้ข้าจะรีบปล่อยสินค้าที่มีอยู่ กำไรที่ได้คงพอค่าใช้จ่ายในเดือนนี้ อีกทั้งยังสามารถคืนค่ามัดจำให้ลูกค้าได้หลายคนอยู่ขอรับ” “ดี เจ้ารีบไปดำเนินการเสียให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องการเจรจากับลูกค้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าหวังว่าลูกค้าเก่าแก่คงจะเห็นใจร้านค้าตระกูลหลี่ของเราอยู่บ้าง” “ขอรับนายท่าน” หลิวจินหูรีบสาวเท้าออกไปจากห้องทำงานเพื่อดำเนินการ ตามแผนในทันที เมื่อผู้ช่วยคนสนิทก้าวพ้นธรณีประตู หลี่เค่อทรุดร่างลงบนเก้าอี้เสมือนดั่งคนสิ้นเรี่ยวแรง เขากวาดสายตาไปบนสมุดบัญชีอีกครั้งพลางทอดถอนใจ ช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจาก ธัญพืชที่ตุนเอาไว้เพื่อเก็งกำไรถูกความชื้นจนเสียหายไปกว่าครึ่ง ต่อมามีพ่อค้าจากเมืองอื่นเข้ามาขายข้าว และธัญพิชตัดราคา เขาจำต้องเทขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน ทว่าความโชคร้ายยังคงไม่หมดไป ตั้งแต่เดือนเจ็ดมาจนถึงตอนนี้ขบวนสินค้าของตระกูลหลี่ถูกดักปล้นไปแล้วกว่าสิบครั้ง จึงทำให้ในสมุดบัญชีมีแต่ตัวเลขสีแดงเต็มไปหมด หลี่เค่อคิดอยากเอามือกุมขมับ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ทำเช่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่นายท่านใหญ่ของตระกูลกำลังกลัดกลุ้ม หลี่จื่อเหยาก็ก้าวเข้ามา ในห้องทำงานพร้อมกับน้ำแกงบำรุงถ้วยหนึ่ง “พี่ใหญ่เจ้าคะ ดื่มน้ำแกงปลาสักนิดเถิด” ใบหน้างามประดับรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ผู้มองสบายใจเอาไว้ “ขอบคุณนะเหยาเหยา แต่ตอนนี้พี่ชายคงดื่มอะไรไม่ลง” “อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ยังต้องใช้ความคิด แล้วน้ำแกงปลานั้นก็บำรุงสมอง” “อืม ก็ได้ บางทีน้ำแกงของเจ้าอาจจะช่วยให้พี่นึกอะไรดีๆ ออก” หลี่เค่อยื่นมือไปรับถ้วยน้ำแกงจากน้องสาว เขาเปิดฝาออกก็พบน้ำแกงที่เคี่ยวอย่างพิถีพิถันจนกลายเป็นสีน้ำนม เมื่อรับรู้ถึงความใส่ใจของน้องสาว ริมฝีปากบางจึงขยับยิ้มอย่างอดมิได้ “พี่ใหญ่มัวทำอันใดอยู่ รีบๆ ดื่มเสียสิเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะเสียรสชาตินะ” “เอาล่ะๆ ข้าจะดื่มแล้ว” หลี่เค่อรับคำแล้วรีบดื่มน้ำแกงถ้วยนั้นจนหมด รสชาติอันดีเยี่ยมทำให้บุรุษผู้เคร่งเครียดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก หลี่จื่อเหยาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกยินดี อย่างน้อยตนก็ทำให้พี่ชายสดชื่นขึ้นมา บ้าง “หากชายใดได้เจ้าไปเป็นภรรยานับว่าโชคดียิ่งนัก” หลี่เค่อเปรย “พี่ใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว น้องก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง” “จะว่าไปปีนี้เหยาเหยาของเราก็อายุสิบหกแล้ว ข้ากับท่านแม่คงต้องคิดเรื่องหาคู่ครองให้กับเจ้าเสียที” “น้องสาวยังไม่อยากแต่งงานเลยเจ้าค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ และก็ดูแลท่านพี่กับหลานชายไปก่อน” “มิได้ๆ หากปล่อยนานเข้าเจ้ากลายเป็นสาวทึนทึกขึ้นมา ข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อ” “อืม...ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่จัดการตามเห็นสมควรเถิดเจ้าค่ะ” “เอาไว้ข้าสะสางเรื่องยุ่งยากพวกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อน แล้วค่อยไปปรึกษากับท่านแม่เรื่องคู่ครองของเจ้า” “เจ้าค่ะ” หลี่เค่อยิ้มอย่างพอใจ น้องสาวของเขาเป็นคนอ่อนหวานว่าง่าย ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง เมื่อเห็นพี่ชายทำท่าจะสะสางงานตรงหน้าต่อ หลี่จื่อเหยาจึงไม่อยากรบกวนเขาอีกต่อไป นางเดินไปหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ แล้วสาวเท้าออกจากห้องทำงานอย่างสงบเสงี่ยม ครั้นน้องสาวจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็จางหาย หลี่เค่อลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขาหยิบกล่องสีดำใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็พบเอกสารหลายสิบฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ หลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบโฉนดออกมาสองสามใบ ถึงเขาจะมั่นใจว่าหลิวจินหูจะสามารถขายสินค้าที่เหลือได้ทันเวลา แต่หากมีลูกค้าที่ไม่ยินยอม แล้วเรียกร้องเอาเงินค่าปรับสักสองสามคน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เงินสดในบัญชีคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าปรับมหาศาลเหล่านั้น เขาจึงจำต้องเฉือนเนื้อบางส่วนเพื่อรักษา ร่างกายเอาไว้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD