“หนีมาอยู่ลอสแอนเจลิสตั้งสามปีแล้ว ไม่ใช่ป่านนี้สุนัขคาบหมามุ่ยไปรับประทานแล้วหรือ คุณพี่เพลิง” อัคคีแซวพี่ชาย ทำเอาคนที่กำลังหวั่นๆ อยู่ถึงกับหันมาถลึงตาใส่ ด่ากลับในทันควัน
“ไอ้ไฟ ไอ้ปากหมา”
“ก็มันจริงนี่หว่า...ไม่ได้ยินที่แม่เลี้ยงบอกหรือว่ามีเถ้าแก่มาสู่ขอหมามุ่ย”
อัคคีรู้ว่าพี่ชายรักและหวงธีราดามาก ก็ยิ่งเทน้ำมันลงในกองไฟให้อัคนีได้คิดตามและหวาดหวั่น
และอัคนีก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใบหน้าคมเข้มเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะเอ่ยบอกมารดาเสียงหลง “แม่เลี้ยงห้ามยกหมามุ่ยให้ใครนะครับ”
“ไม่รู้แหละ เพลิงไม่ยอมกลับบ้าน มาสู่ขอหมามุ่ยแต่งงานกับน้องให้เป็นเรื่องเป็นราว แม่ก็จะยกหมามุ่ยให้กับคนอื่นที่เขาสามารถดูแลหมามุ่ยได้”
แม่เลี้ยงรดาขู่ลูกชาย มั่นใจเกินร้อยว่าตอนนี้อัคนีอยู่ไม่เป็นสุขแน่
“ไม่ได้นะครับ แม่เลี้ยงจะยกหมามุ่ยให้ใครไม่ได้ นั่นเจ้าสาวของผม!”
อัคนียืนกรานเสียงดัง ยกมือเสยผมให้ยุ่งเหยิงไปหมด
“เจ้าสาวที่ถูกว่าที่เจ้าบ่าวทอดทิ้ง หนีมาเรียนไกลถึงลอสแอนเจลิสแล้วไม่ยอมกลับบ้านสักที หมามุ่ยรอเพลิงหลายปีแล้วน่ะ แม่ไม่อยากให้หมามุ่ยขึ้นคาน ตอนนี้ใครมาสู่ขอหมามุ่ย แม่จะยกหมามุ่ยให้กับเขาทันที”
“แล้วลุงราม ไม่คัดค้านหรือครับ”
อัคนียิงคำถามรัวเป็นชุด ซึ่งลุงรามที่เขาพูดถึง ก็คือบิดาของธีราดานั่นเอง
“เพลิงก็รู้ว่าลุงรามยกหมามุ่ยให้เป็นลูกสาวบุญธรรมของแม่ การตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่แม่กับพ่อเลี้ยง หากแม่เห็นว่าสิ่งที่เสนอให้กับหมามุ่ยเป็นสิ่งที่ดีและทำให้หมามุ่ยมีความสุข ลุงรามก็ไม่ขัดข้อง”
“แล้วหมามุ่ยก็ยอมแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามเริ่มบ่งบอกถึงอาการไม่พอใจและโกรธเป็นอย่างมาก ทว่าหาได้โกรธมารดาไม่! แต่อัคนีกำลังโกรธคนที่ตกเป็นหัวข้อการสนทนาต่างหาก
“หมามุ่ยบอกว่าแล้วแต่แม่เลี้ยง ถ้าแม่เลี้ยงให้แต่งงานกับใคร หมามุ่ยก็ตกลงตามนั้น”
“บ้าชะมัด แต่งงานกับคนอื่นได้ยังไงกัน มีเจ้าบ่าวอยู่นี่ทั้งคน” อัคนีสถบอย่างลืมตัว ก่อนจะเอ่ยตอบมารดารัวเร็ว “เพลิงจะกลับประเทศไทยในทันทีที่ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ แม่เลี้ยงห้ามให้ใครยกขันหมากมาสู่ขอหมามุ่ยนะครับ ไม่ยังงั้นผมจะทำตัวเป็นมหาโจรไปฉุดหมามุ่ยมาทำเมียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
“เฮ้ย! เจ้าเพลิง หมามุ่ยเขามีพ่อมีแม่นะ นายจะทำแบบนั้นได้ยังไง”
คราวนี้พ่อเลี้ยงธิปรกตะโกนต่อว่าลูกชาย อดขำไม่ได้เมื่ออัคนีจะเล่นบทโหดขึ้นมา
“ไม่รู้ล่ะครับ หมามุ่ยเป็นของผม...ใครก็ห้ามแตะเจ้าสาวของนายเพลิง”
อัคนีตอบเสียงเข้ม ก่อนจะตัดบทการสนทนาเมื่อเกิดอาการร้อนรนอยู่ไม่ได้แล้ว
“แค่นี้ก่อนนะครับแม่เลี้ยง เพลิงจะโทร.ซื้อตั๋วเครื่องบิน ไม่เกินสามวัน แม่เลี้ยงกับพ่อเลี้ยงได้กอดลูกชายสุดหล่อทั้งสองคนแน่นอนครับ”
อัคนีกดวางสายการสนทนา ก่อนจะหันมามองหน้าน้องชาย ซึ่งอัคคีรีบยิงคำถามใส่ในทันที
“จะกลับประเทศไทยภายในสามวันเลยหรือว่ะ ไอ้พี่ชาย”
“เอ่อสิว่ะ ขืนช้ากว่านี้ หมามุ่ยถูกสุนัขคาบไปรับประทานแน่ และนายก็อาจจะชวดได้ฟาร์มของลุงหมอเช่นเดียวกัน”
“โอเค ถ้ายังงั้นรีบโทร.จองตั๋วเครื่องบินเลย” อัคคีเร่งเร้าพี่ชาย
“เดี๋ยวนี้เลย ไอ้น้อง นายจัดกระเป๋ารอได้เลย” อัคนีไม่รอช้า รีบโทร.หาสายการบิน เพื่อจัดการซื้อตั๋วกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน
ฝาแฝดทั้งสองไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังตกหลุมพรางที่มารดาและบิดาได้ขุดล่อไว้ แม่เลี้ยงรดาชาญฉลาดยิ่งนัก รู้ว่าอัคนีรักและหวงธีราดาหนักหนา ก็ยกเรื่องที่มีมหาเศรษฐีมาสู่ขอธีราดา มาเอ่ยบอกให้อัคนีนั่งไม่ติดเก้าอี้
ส่วนอัคคีชื่นชอบและรักม้าเป็นชีวิตจิตใจ ก็คงอยู่ไม่ได้แน่ เมื่อรู้ว่าลุงหมอได้ประกาศขายฟาร์มม้า เขาต้องรีบแจ้นกลับประเทศไทยเพื่อขอซื้อฟาร์มของลุงหมอก่อนจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น
และไม่ว่าฝาแฝดสุดแสบทั้งสองจะฉลาดเป็นกรดมากเพียงใด ก็ไม่ฉลาดไปมากกว่าแม่เลี้ยงรดาและพ่อเลี้ยงธิปรก ที่กำจัดจุดอ่อนของฝาแฝดทั้งสองได้อย่างอยู่หมัด!!!
แม่เลี้ยงรดาวางหูโทรศัพท์ลง หลังจากเอ่ยขู่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เอ่ยบอกคนที่นั่งเฝ้ารออยากรู้เรื่องของฝาแฝดใจจะขาด นั่นก็คือลุงสนกับลุงชาญ
“อีกสามวัน ฝาแฝดสุดแสบจะกลับบ้าน”
“อีกสามวันหรือครับ” ลุงสนเอ่ยถามซ้ำราวกับได้ยินไม่ชัดเจน
และแม่เลี้ยงรดาก็พยักหน้ารับคำ เอ่ยย้ำคำตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความขบขำ “ใช่ค่ะ อีกสามวันฝาแฝดก็กลับบ้านแล้วค่ะ”
“ทำไมนานจังเลยครับ น่าจะกลับพรุ่งนี้เลยนะครับ”
คราวนี้ลุงชาญบ่นอุบ สามวันสำหรับพวกเขาช่างดูเนิ่นนานซะจริงๆ กับการเฝ้ารอคุณหนูตัวโตที่พวกเขาคิดถึงและไม่ได้เจอกันถึงสามปีเต็มแล้ว
“ให้เวลาฝาแฝดเก็บข้าวของและล่ำลาสาวๆ ในอเมริกาหน่อยสิ ไอ้ชาญ”
พ่อเลี้ยงธิปรกต่อว่าลูกน้องไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่าลูกน้องทั้งสอง ทั้งสนและชาญต่างก็คิดถึงฝาแฝดไม่ต่างจากพวกเขาซึ่งเป็นพ่อและแม่ เพราะตั้งแต่ฝาแฝดเกิดมา ก็มีลุงสนและลุงชาญนี่แหละคอยเป็นพี่เลี้ยงตามประกบฝาแฝดทั้งสองไม่มีห่าง
“ก็ผมคิดถึงคุณหนูนี่ครับ” ชาญเอ่ยบอกถึงความรู้สึกของตน
“ผมก็คิดถึงเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณหนูตัวโตแค่ไหนแล้ว” สนก็ไม่น้อย
หน้ากัน คิดถึงคุณหนูไม่แพ้กัน
และถึงแม้คุณหนูที่พูดถึงตอนนี้มีอายุปาไปยี่สิบหกปีแล้ว แต่อัคนีและอัคคีก็ยังเป็นคุณหนูตัวเล็กๆ ในสายตาของลุงทั้งสองอยู่เสมอ