พุทธศักราช ๒๔๙๐
ใกล้ค่ำ ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เรือเอี๊ยมจุ๊นขนข้าวสารมาเต็มลำ ชะลอเข้าทอดเทียบริมท่าน้ำใกล้กับเรือนหลังน้อยที่ซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่ในดงไผ่ ขณะพระอาทิตย์ดวงกลมโตกำลังลอยเรี่ยต่ำจวนเจียนจะแตะเส้นแนวขอบฟ้า ระบายสีส้มอมแดงฝากลำแสงสุดท้ายของวันเอาไว้ก่อนจะลาลับ แลเห็นเป็นประกายแฉกฉาย แตกเป็นริ้วรายคลี่ล้อมดวงอาทิตย์และหมู่เมฆรายรอบ
“พวกมึงเฝ้าเรือรออยู่ที่นี่... สักพักกูจะเอาข้าวมาให้กิน”
เถ้าแก่หวังผู้เป็นเจ้าของเรือและเป็นพ่อค้าข้าวสารที่คนในหมู่บ้านรู้จักดี ร้องสั่งลูกน้องอีกสามคนซึ่งเป็นคนงานที่เคยล่องเรือขายข้าวสารมาด้วยกันหลายปี
ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากเรือแล้วเดินดุ่มขึ้นไปตามเนินดินขั้นบันไดริมฝั่ง สายตามองตรงไปยังเรือนไม้หลังน้อยที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน สายตาของเถ้าแก่หวังเหลือบแลไปเห็นหญิงสาวสองคนกำลังวิ่งเล่นวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน เสียงหัวร่อต่อกระซิกกันราวกับเด็กๆ
“เถ้าแก่หวังมาแน่ะ... ”
หญิงสาวที่มีชื่อว่าราตรีหันไปบอกกับน้องสาวชื่อลั่นทม
“มาอีกแล้วหรอ”
ลั่นทมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ด้วยเกิดความรู้สึกต่อต้านผู้มาเยือนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาใสๆ จับจ้องร่างสูงโปร่งของเถ้าแก่หวังที่เดินใกล้เข้ามาทุกที
“เอ็งไม่ชอบให้เถ้าแก่หวังมาบ้านเราหรอกหรือลั่นทม”
ราตรีขมวดคิ้วถามด้วยความอยากรู้ ด้วยทุกครั้งที่เถ้าแก่หวังมาเยือน แกก็มักจะมาพร้อมกับข้าวสารและอาหารแห้งที่ขนเอามาให้นางชบาผู้เป็นมารดาจนเป็นภาพชินตา และทุกครั้งที่มา เถ้าแก่หวังก็จะให้เงินหล่อนกับน้องสาวไปจับจ่ายใช้สอยในตลาด
“ใช่... ข้าไม่ชอบให้เถ้าแก่หวังมาบ้านเรา”
ลั่นทมนิ่วหน้า มองชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยแววตาต่อต้าน เพราะหล่อนโตพอที่จะรู้เรื่องราวที่ผู้ใหญ่แอบทำกันอย่างลับๆ
“แม่เอ็งอยู่มั้ยนังหนู”
เถ้าแก่หวังถามเหมือนเช่นทุกครั้งที่มาถึง
“แม่อยู่ในครัวจ้ะ”
ราตรีชิงตอบด้วยสีหน้าแย้มยิ้มต้อนรับ กำลังลุ้นอยู่ในใจว่าจะได้เงินไปซื้อขนมเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่ ก่อนที่ดวงตาสุกใสจะวาวโรจน์ เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเชื้อสายจีนล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วควักเงินเหรียญออกมายื่นให้หล่อนกับน้อง
“เอ็งเอาเงินไปซื้อขนมกันนะ เมื่อตะกี้ตอนที่เรือแล่นผ่านมาทางหลังวัดได้ยินว่าคืนนี้หนังกลางแปลงมาฉายที่ลานวัดโน่นแน่ะ... ป่านนี้คงกำลังตั้งจอ”
เถ้าแก่บอก ราตรีรีบเอื้อมมืออกไปรับเงินเหรียญด้วยความตื่นเต้นดีใจ ลั่นทมมองตาปริบๆ คล้ายลังเลใจที่จะรับเงินของผู้ชายคนนี้ ครั้นเมื่อนึกถึงหนังกลางแปลงที่ลานวัด นึกถึงขนมปุยฝ้าย ข้าวเกรียบว่าว ขนมสายไหม น้ำตาลปั้นที่บรรดาแม่ค้าพ่อค้าเอามาขาย มือน้อยๆ ก็เอื้อมออกไปรับเงินเอาไว้ในที่สุด
จากนั้นสองพี่น้องก็ไม่สนใจเถ้าแก่หวังที่กำลังก้าวขึ้นบันไดบ้านไปด้วยความรีบร้อน
ราตรีกับลั่นทมพากันวิ่งเริงร่าออกไปตามถนนลูกรังคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นสีแดง หัวใจลิงโลดไปตามประสาหญิงสาวที่รู้ว่าค่ำนี้จะมีหนังกลางแปลงมาฉาย ด้วยตระหนักดีว่าความบันเทิงเริงใจในชนบทบ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญนั้นช่างหายากและมีให้ดูน้อยนัก
ภายในครัวเล็กๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านหลังเรือน ชบากำลังสาละวนอยู่กับการหุงข้าว หล่อนไม่ได้สังเกตถึงการมาของเถ้าแก่หวัง
เมื่อชายวัยกลางคนยื่นใบหน้าผ่านพ้นกรอบประตูเข้ามาก็แลเห็นนางชบา หญิงม่ายซึ่งมีเรือนร่างรัดรึงและเย้ายวนใจไปทุกสรรพางค์ ใบหน้าของหล่อนสะสวย ผิวพรรณขาวสะอ้าน ทั้งร่างดูเอิบอิ่ม สวมผ้าถุงสีหมากสุกลายดอกพิกุล เสื้อคอกระเช้าคอกว้างสีครามตัดกันชัดกับเนินอกเนียนขาว หล่อนกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาถ่าน
“ชบาจ๋า”
กระแสเสียงของเถ้าแก่หวังเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก สีหน้าและแววตาอัดแน่นไว้ด้วยความปรารถนา ร้องเรียกชบาพลางโผเข้าสวมกอดเอวของหล่อนจากทางด้านหลัง
“อุ๊ย เถ้าแก่…”
ชบาอุทานด้วยความตกใจที่รู้ว่าเป็นเขา
“ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกิน”
เถ้าแก่หวังตรงเข้าสวมกอดร่างรัดรึงจากทางด้านหลัง จมูกซุกซนระดมจูบไซ้อย่างโหยหา ไล่เรื่อยจากลำคอขึ้นมาถึงท้ายทอยซึ่งมีก้อนผมสีดำขมวดเป็นมุ่นมวยเอาไว้
“ใจเย็นๆ สิจ๊ะ”
คนถูกกอดต่อรองเสียงอ่อนเสียงหวาน ท่าทีอิดเอื้อนเต็มไปด้วยจริตมารยา เถ้าแก่หวังนึกกระหยิ่มใจในอาการตอบสนองของม่ายสาว จึงรีบเบียดกายกำยำเข้าหาบั้นท้ายกลมกลึงของชบา จงใจบดคลึงความเป็นชายชาตรีเข้ากับสะโพกหนั่นแน่นจนหล่อนรู้สึกได้ว่าแก่นกายของเขากำลังเหยียดขยายจนเครียดเขม็ง
“ขอข้าชื่นใจเอ็งเถอะนะ”
เถ้าแก่หวังละล่ำละลักไปตามอารมณ์ปรารถนา จ้วงจูบไม่ยั้ง ใช้ทั้งจมูกและริมฝีปากตักตวงไปตามเนื้อตัวของชบาอย่างลุ่มหลง สมกับความคิดถึงที่ต้องห่างหายไปนานเป็นเดือน กระทั่งเรือเอี๊ยมจุ๊นของเขาบรรทุกข้าวสารผ่านมาทางหลังบ้านของหล่อนอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งเถ้าแก่... เดี๋ยวสิจ๊ะ”
ทั้งที่เคลิบเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าของเขา ทว่าหล่อนก็อดทัดทานไม่ได้
“ไม่เจอหลายวัน... ข้าอยากเอ็งจนจะบ้าแล้วชบาเอ๋ย”
ชายวัยกลางคนกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงกระเส่าสั่น ทำให้ร่างอ้อนแอ้นที่ถูกกอดจูบหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“ขอข้าจูบเอ็งให้หายอยาก”
เถ้าแก่หวังนาบเรียวปากประกบลงบนความอวบอิ่มของริมฝีปากชบา มือใหญ่กอบใบหน้าสะสวยมาจูบไซ้พัลวัน
“ขอฉันอาบน้ำก่อนเถอะนะ... เนื้อตัวมีแต่เหงื่อ”
ตอนนั้นชบากำลังง่วนอยู่กับงานครัว จึงเป็นกังวลเรื่องเหงื่อไคล หากแต่ในความรู้สึกของเถ้าแก่หวังกลับลุ่มหลงในกลิ่นกายของหล่อนถึงขั้นว่าเหงื่อไคลก็ยังหอมหวนรัญจวนใจ
“ไม่ต้องอาบน้ำ... ข้าทนไม่ไหวแล้วชบาจ๋า”
ได้ยินแล้วชบาก็แหงนใบหน้าขึ้นเล็กน้อย เปิดซอกคอให้เขาจูบไซ้อย่างไม่หวงเนื้อหวงตัว หล่อนเองก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของตัวเองที่ต้องเก็บกดเอาไว้ตลอดมา ยอมรับว่ารู้สึกเหว่ว้าทรมาน ครั่นเนื้อครั่นตัวมาตลอด หลังจากต้องเป็นม่ายเพราะสามีมาด่วนตายจากไปเสียก่อน
“ขอข้าฟัดให้ชื่นใจ”
เถ้าแก่รั้งเสื้อคอกระเช้าจนร่นออกจากหัวไหล่กลมกลึง พร้อมกับถากไถใบหน้าลงบนเนินทรวงสล้าง ฝังจมูกไปตามความเนียนขาวและอวบใหญ่ของเต้าทรวงที่แลเห็นเส้นเลือดสีเขียวกระจายเป็นสายรางๆ อยู่ใต้ผิวเนื้ออ่อนบางของชบา