“เหตุใดจึงได้มีโจรชุกชุมที่ชายแดน พวกทหารทำอะไรอยู่ เช่นนี้พวกพ่อค้าจากเมืองหลวงจะเข้ามาค้าขายในเมืองเราได้อย่างไร” เสียงเกรี้ยวกราดของชายชราดังลั่นท้องพระโรงไท่กง เมื่อทราบข่าวว่ารถม้าบรรทุกข้าวที่จวนของตนถูกปล้น แถมคนใช้ในจวนก็ถูกฆ่าทิ้งหมด
“ใต้เท้าหลินโปรดใจเย็นก่อน ที่ผ่านมาข้าก็ไม่เห็นว่ามีใครโดน มีแต่ท่านที่มาร้องทุกข์ปาว ๆ” ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งแย้ง
“ท่านไม่พบ แต่ข้าพบ คนของข้า ของของข้าถูกปล้นไปสองครั้งติดแล้ว จะให้ข้าพูดอย่างไร”
“ก็ยังมีแค่ท่านอยู่ดีที่โดน” ผู้อาวุโสอีกคนแย้ง
“นี่ท่านจะหาว่าข้าทูลเท็จต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้พูดนะ ท่านพูดเอง”
“นี่!!!”
“เอาละ ๆ พวกท่านจะเถียงกันไปไย อย่างกับเด็กน้อยไม่รู้ความ ต่อหน้าพระพักตร์ก็สงบปากกันเสียบ้าง” ขุนนางอาวุโสเอ่ยห้าม ทุกคนต่างเชื่อฟังในทันที เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านล่างสงบ ชายชราผู้มากด้วยท่าทีเยือกเย็นก็ได้หันขึ้นไปกราบทูลเบื้องสูงที่เงียบฟังมาตลอดการสนทนาอย่างใจเย็นต่อหน้าขุนนางนับสิบคน
“ฮ่องเต้ทรงตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาละ เจิ้นได้ฟังความแล้วทุกฝ่าย ไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อใคร เอาเป็นว่าเจิ้นจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบให้ หวังว่าเรื่องนี้ใต้เท้าชุนจะจัดการให้ได้” หยางมู่เฉินหันไปบอกผู้ช่วยฝ่ายกลาโหมของตน
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าชุนผู้มีท่วงท่าสมชายชาตรีกล่าวรับ ก่อนจะรีบเดินจ้ำออกไปจากท้องพระโรงในทันที
“มีเรื่องใดอีกหรือไม่” หยางมู่เฉินหันกลับมามองผู้อาวุโสทั้งหลายที่คอยแต่จะหาเรื่องมาให้เขาได้ปวดหัวอยู่ทุกวี่วัน
“ยังมีเรื่ององค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าจางรีบเอ่ยขึ้นทันควันเมื่อหยางมู่เฉินเปิดโอกาส
ฮ่องเต้ที่มีความเยาว์มากกว่าครึ่งของคนที่อยู่เบื้องล่างได้แต่ถอนใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
“ช่วงนี้ฮองเฮาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก พวกเจ้าจะเร่งรัดอะไรเจิ้นนักหนา”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ทว่าสายจากหัวเมืองแคว้นเหนือบอกว่าเวลานี้มีกองกบฏขนาดเล็กกำลังรวบรวมกำลังพล อาจจะเกิดการกบฏได้ ฝ่าบาทควรจะเตรียมเรื่องหลังบ้านให้พร้อมเพื่อรับมืองานนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นับวันคนเหล่านี้ก็ยิ่งไม่มีความเกรงใจฮ่องเต้หนุ่ม แม้แต่เรื่องหลังบ้านยังคอยมาจัดแจงให้ ด้วยวัยของฮ่องเต้ที่น้อยจนแทบจะเป็นลูกของพวกเขาได้ จึงอ้างว่าตนมีประสบการณ์มากมาย คอยชี้นำจัดแจงและวิจารณ์การปกครองของหยางมู่เฉินอยู่เป็นประจำ
“บังอาจ เจ้าคิดว่าเจิ้นเป็นลูกเจ้าหรืออย่างไร ถึงได้เซ้าซี้ถามแต่เรื่องลูกของเจิ้น”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ จริงอยู่ที่พระองค์ยังทรงเยาว์วัยนัก การคิดเรื่ององค์รัชทายาทอาจจะเร็วเกินไปหน่อย แต่ด้วยสถานการณ์ในช่วงนี้ ประเทศมิอาจขาดประมุขได้แม้แต่วันเดียว กระหม่อมเลยรู้สึกเป็นห่วงพระองค์ก็เท่านั้น หาได้มีใจคิดร้ายแม้แต่น้อย”
หยางมู่เฉินทอดถอนใจเมื่อได้ยินคำอ้างแบบเดิม ๆ จึงได้แต่รับปากส่ง ๆ ไป
“อืม เจิ้นรับปาก อย่างไรเสียเจิ้นก็ต้องมีองค์รัชทายาทสักวัน”
“ขอบพระทัยฝ่าพระบาท ที่ทรงเข้าใจความเป็นห่วงของพวกกระหม่อม”
เสร็จจากงานหารือเรื่องบ้านเมือง หยางมู่เฉินก็ไล่ทุกคนกลับจวนของตัวเองไป เมื่อเหลือเพียงเขาและเหล่าคนสนิทไม่กี่คน ร่างมังกรที่คอยแบกภาระบ้านเมืองเอาไว้จึงผ่อนคลายลงมาได้บ้าง
“เจิ้นจะทำอย่างไรดี หากฮองเฮาตั้งครรภ์ไม่ได้ เจิ้งซูเฟยต้องเสนอตัวมาแทนแน่”
“พระองค์ทรงคิดมากเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาช่วงนี้พระอาการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเพราะมีหลิวกุ้ยเฟยคอยอยู่ดูแล” ขันมีหม่ารายงานความเป็นไปที่ตนได้รับรู้ให้หยางมู่เฉินฟัง
“หลิวกุ้ยเฟยอย่างนั้นเหรอ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นหลิวกุ้ยเฟยเดินเข้าออกตำหนักฮองเฮาแทบทุกวัน ตั้งแต่ยามเฉินกระทั่งถึงยามเซินจึงกลับตำหนักตน พระสนมทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อพระองค์อย่างหนักเลยทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นคิ้วหนาเรียงเส้นสวยดุจคิ้วมังกรจึงขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่านางเกลียดฮองเฮาหรอกหรือ เหตุใดจึงคอยดูแลปรนนิบัติฮองเฮาอย่างดีเช่นนี้
“ฮองเฮาทรงรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมเพคะ” เสียงหวานหยดเอ่ยถามหญิงสาวที่อยู่ในชุดแพรพรรณสีฟ้าสดใส ใบหน้าที่เคยซีดเซียวบัดนี้กลับดูแดงระเรื่อเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ทำให้จางอ้ายเหรินพบว่า แท้จริงแล้วฮองเฮาก็คือหญิงงามที่หาใครทัดเทียมได้ยากจริง ๆ
“เปิ่นกงดีขึ้นมากเลยทีเดียว ขอบใจน้องหญิงที่คอยมาดูแลตลอด อีกทั้งยังต้องคอยเป็นธุระหาโอสถมาให้ ลำบากน้องหญิงแล้ว”
“ฮองเฮาอย่าตรัสเช่นนั้น หม่อมฉันก็เพียงแต่ทำหน้าที่น้องสาวที่ดีเท่านั้น”
“อื้ม... ต่อไปหากอยู่กันสองคนก็เรียกข้าว่าพี่หญิงเถอะ ฮองเฮาเป็นแค่ตำแหน่งบังหน้าที่ข้าไม่ได้พึงอยากจะช่วงชิงกับใครแต่แรก อันที่จริงข้าก็ลำบากใจที่จะเป็น...” ใบหน้าของอวี๋เยี่ยนฟางสลดลงเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ากับฝ่าบาทมีความรักลึกซึ้งต่อกันมากเพียงใด เพียงแต่เพราะหน้าที่ที่พระองค์หลีกเลี่ยงไม่ได้จึงพลอยส่งผลกระทบกับน้องหญิงไปด้วย” มือขาวเนียนเอื้อมมาแตะที่ใบหน้าเล็กรูปไข่ก่อนจะยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มจริงใจเมื่อพูดความในใจของตนออกมา
“ฮองเฮาอย่าทรงคิดแบบนั้นเลยเพคะ ทุกอย่างอยู่ที่ฟ้าเป็นผู้ลิขิต หม่อมฉันไม่ได้เคืองโกรธพระองค์ ไม่ได้โทษฮ่องเต้ที่ผิดคำสัญญา เพียงแต่หม่อมฉันคิดว่า หากไม่ใช่พระองค์ก็ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้ว” จางอ้ายเหรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกลับไป ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาก
“หากคิดเช่นนี้ ทำไมวันนั้นน้องหญิงถึงได้คิดสั้นเช่นนั้นเล่า...”
“ตอนนั้นหม่อมฉันไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่หญิงอย่าทรงกังวล ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่านแม้แต่น้อย”
“เป็นเช่นนั้นข้าก็เบาใจ”
จางอ้ายเหรินเองก็ไม่รู้ถึงสาเหตุที่หลิวเยว่ซินผู้นี้คิดสั้น รู้เพียงว่ามีแต่เรื่องวุ่นวายให้นางได้จัดการไม่หยุดหย่อนจริง ๆ