Aom Part.
ฉันเผลอถอยหลังสองก้าวเมื่อสบสายตากับคนในรถ เขายกยิ้มให้ฉันแต่ในตาเขามันไม่ได้ยิ้มไปด้วยและนั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เขามากขึ้นไปอีก
"ขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าไม่เป็นไรืเขาไม่เข้าใจหรือไงเนี่ย!
"ไม่เป็นไรค่ะ โอ๊ะ! รถเมล์มาแล้วฉันไปก่อนนะคะ"
ฉันรีบวิ่งขึ้นรถเมล์ทันทีโดยไม่กล้าหันหลังกลับไปดูพี่เขา ถ้าเป็นพี่โจฉันคงไม่ปฏิเสธเพราะจะได้ประหยัดค่ารถ แต่นี่ฉันไม่ได้รู้จักเขาถึงไม่กล้าไปด้วยน่ะสิ
"มาแล้วเหรอ"
พี่กีต้าร์เจ้าของร้านกาแฟเอ่ยทักทาย พี่เขาเป็นผู้ชายเซอร์ๆอายุ30 ที่มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน
"หนูมาช้าป่ะเนี่ย?"
"ไม่หรอกน่า"
พี่เขาลูบหัวฉันแบบที่ชอบทำเป็นประจำก่อนจะส่งถาดที่พึ่งเก็บแก้วกาแฟมาให้ฉันนำไปล้างข้างหลังร้าน
วันนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษฉันจึงต้องเลิกงานดึกกว่าปกติแต่พี่กีตาร์ก็อาสาขับรถไปส่งที่บ้าน
"คนเยอะเนอะวันนี้"
"แต่ก็ดีไม่ใช่หรอ วันนี้พี่รวยเลยนะเนี่ย"
ฉันแซวเขาขำๆ ซึ่งปกติเราก็ชอบพูดล้อเล่นกันเป็นประจำอยู่แล้ว
"เดี๋ยวพี่ขอแวะรับครามก่อนนะ"
พี่ครามเป็นเจ้าของผับอยู่แถวๆบ้านฉัน ทุกครั้งที่พี่กีต้าร์ไปส่งฉันที่บ้านก็จะแวะรับพี่ครามแฟนเขาก่อนเสมอ
"มาช้าว่ะ"
พี่ครามบ่นอุบอิบท่าทางดูหงุดหงิดมากๆสงสัยว่าวันนี้น่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี
"เป็นอะไรหน้าบูดเป็นตูดเชียว"
ฉันนั่งอยู่เบาะหลังมองพี่สองคนหวานใส่กัน ทุกครั้งที่พี่ครามอารมณ์ไม่ดีพี่กีตาร์ก็มักจะเป็นคนปลอบและคอยรับฟังเสมอ
"ก็ไอ้เคน่ะสิมันไม่ยอมกลับบ้านไม่รู้หายหัวไปไหน พ่อก็ดันโทรมาสั่งฉันให้ไปตามหามัน น่าเบื่อ!"
พี่กีตาร์เคยเล่าให้ฟังว่าพี่ครามมีน้องชายหนึ่งคนชื่อเค แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าหรอก แต่เท่าที่ฟังดูเหมือนเขาจะเป็นคนมีปัญหานะ
"ปล่อยมันไปเถอะ ไอ้เคมันอายุตั้ง22ปีแล้ว อย่าไปสนใจมันเลย"
"ฉันก็ไม่ได้สนใจมันหรอกแต่พ่อน่ะสิชอบมานู่นนี่นั่นกับฉัน!"
ดีนะที่ฉันตัวคนเดียวมาตลอดไม่มีพี่น้อง ไม่งั้นอาจจะต้องปวดหัวแบบที่ครามก็ได้
"แล้วทำไมวันนี้กลับบ้านดึกล่ะ?"
พี่ครามหันมาถามฉัน
"พอดีวันนี้ลูกค้าเยอะน่ะ หนูก็เลยต้องอยู่ช่วยเพราะพนักงานลาหยุดตั้ง2คน"
"แล้วหิวมั๊ย? แวะกินข้าวกันก่อนดีกว่า"
"หนูกลับไปกินที่บ้านก็ได้ พี่สองคนไปด้วยกันเถอะหนูไม่อยากเป็นก้างขวางคอ"
"แก่แดดนะเรา"
พี่กีต้าร์หัวเราะขำๆ มองฉันที่ถูกพี่ครามหยิกแก้มจนยืด เราสามคนคุยกันไปตลอดทาง พี่ครามเป็นคนคุยเก่งและเขาก็มักจะมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้ฟังเสมอ
"ขอบคุณนะคะพี่ๆที่อุตส่าห์มาส่งหนู"
"ไม่เป็นไร รีบเข้าบ้านเถอะ แล้วอย่าลืมปิดประตูอะไรให้ดีล่ะ อยู่คนเดียวมันอันตราย"
ทุกครั้งที่พี่ครามมาส่งก็มักจะพูดแบบนี้เสมอ ซึ่งฉันก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ฉันยืนมองรถของพี่กีต้าร์ที่ขับออกไปก่อนจะรีบเดินเข้าบ้าน แต่จู่ๆก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองอยู่ฉันจึงหันไปมองแต่ก็ไม่เจออะไร
"ผีเหรอวะ?"
ฉันเป็นคนกลัวผีขึ้นสมองแต่กลับต้องอยู่คนเดียว บางครั้งก็ชอบมโนไปเองว่าผ้าม่านคือผี
ฉันรีบสาวเท้าเข้าบ้านอย่างเร็วเพราะรู้สึกเหมือนว่าฝนกำลังจะตก แต่ก่อนเข้าบ้านฉันต้องรีบไปเก็บผ้าที่ตากอยู่หลังบ้านซะก่อน
ฉันเปิดไฟรอบบ้านให้สว่างก่อนจะรีบเก็บผ้าที่ตากอยู่ แต่เพราะว่าเมื่อเช้าฉันต้องซักผ้าที่ดองมานานหลายวันด้วย เสื้อผ้าที่ต้องเก็บจนล้นมือจนต้องเอาไปเก็บไว้ในบ้านรอบนึงก่อนแล้วค่อยออกมาเก็บที่เหลืออีกรอบ
แกร็ก! ฉันหันมาทางประตูเพราะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ว่าข้างนอกก็มีฟ้าร้องทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก และคิดว่าตัวเองอาจจะหูแว่ว
ฉันเดินออกมาเก็บเสื้อผ้าที่เหลืออีกรอบก่อนจะนำกลับมาเก็บในบ้าน
"เอ๊ะ! ลืมเอาผ้าไปให้อาจารย์นี่นา!"
ฉันรีบคว้าตะกร้าผ้าของอาจารย์ข้างบ้านที่จ้างซักเอาไว้ ก่อนจะกดกริ่งเพราะเห็นว่าไฟในบ้านยังเปิดอยู่
"อ้าว! กลับมาแล้วหรอ วันนี้กลับดึกใช่ไหม?"
"ใช่ค่ะอาจารย์ พอดีว่าวันนี้ที่ร้านคนเยอะหนูก็เลยต้องอยู่ช่วยพี่เขาก่อน"
อาจารย์นกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของฉัรสมัยเรียนมัธยมต้น และบ้านเราอยู่ในซอยเดียวกันอาจารย์จึงมักจะจ้างฉันให้ซักผ้าอยู่บ่อยๆ
"ฝนจะตกแล้วรีบกลับบ้านเถอะ"
อาจารย์ยื่นเงินให้ฉันก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนฉันก็รีบกลับบ้านตัวเองเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าลืมเปิดประตูทิ้งไว้...